ฟังก์ชันเพิ่มและฟังก์ชันลด, ฟังก์ชันโมโนโทน, monotone function
(increasing and decreasing function)

หนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญของอนุพันธ์คือการใช้หาค่าสูงสุดและค่าต่ำสุดของปัญหาทั่วไป เช่น การหากำไรสูงที่สุด การทำให้ต้นทุนต่ำที่สุด การล้อมรั้วให้ได้พื้นที่มากที่สุด การสร้างกล่องให้มีปริมาตรมากที่สุด เป็นต้น เราประยุกต์โดยใช้แก้ปัญหาว่าค่า x เป็นเท่าใด จึงจะทำให้ y มีค่าสูงที่สุดหรือต่ำที่สุด

สำหรับวิธีการแก้ปัญหานี้ หากเป็นฟังก์ชันกำลังสอง เราสามารถใช้วิธีการอื่นที่เคยศึกษามาก่อน เช่น กำลังสองสมบูรณ์ หรือพาราโบลา ในการแก้ปัญหาได้ แต่หากไม่ใช่ฟังก์ชันกำลังสอง เราจะต้องใช้ความรู้เรื่องอนุพันธ์ในการแก้ปัญหา ซึ่งก่อนที่จะศึกษาเรื่องนี้ เราจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานในเรื่องของฟังก์ชันเพิ่มและฟังก์ชันลดเสียก่อน ดังนี้

ฟังก์ชันเพิ่มและฟังก์ชันลด

f จะเป็นฟังก์ชันเพิ่มบนช่วง A ก็ต่อเมื่อ สำหรับสมาชิก x1 และ x2 ใดๆ ใน A ถ้า x1<x2 แล้ว f(x1)<f(x2)

f จะเป็นฟังก์ชันลดบนช่วง A ก็ต่อเมื่อ สำหรับสมาชิก x1 และ x2 ใดๆ ใน A ถ้า x1<x2 แล้ว f(x1)>f(x2)

เราอาจกล่าวง่ายๆ ได้ว่า ฟังก์ชันเพิ่มบนช่วงใดๆ คือฟังก์ชันที่เมื่อค่า x เพิ่มขึ้นบนช่วงนั้น ค่า y จะเพิ่มขึ้นตามด้วย ส่วนฟังก์ชันลดบนช่วงใดๆ คือฟังก์ชันที่เมื่อค่า x เพิ่มขึ้นบนช่วงนั้น ค่า y จะลดลงสวนทางกัน

 

พิจารณาฟังก์ชัน y=f(x) ดังกราฟต่อไปนี้

 

 

จะเห็นว่า ในบางช่วงกราฟเป็นฟังก์ชันเพิ่ม และในบางช่วงกราฟเป็นฟังก์ชันลด พิจารณาความชันของเส้นสัมผัสเส้นโค้งของกราฟช่วงที่เป็นฟังก์ชันเพิ่ม และช่วงที่เป็นฟังก์ชันลด ดังนี้

 

                

 

จะเห็นว่า กราฟที่เป็นฟังก์ชันเพิ่มนั้น ความชันของเส้นสัมผัสเส้นโค้ง ณ จุดใดๆ บนเส้นโค้งนี้มีค่าเป็นบวกเสมอ นั่นคือ f(x)>0

 

                

 

ส่วนกราฟที่เป็นฟังก์ชันลด ความชันของเส้นโค้ง ณ จุดใดๆ บนเส้นโค้งนี้มีค่าติดลบเสมอ นั่นคือ f(x)<0

เราสามารถสรุปเป็นทฤษฎีบทในการตรวจสอบฟังก์ชันว่าเป็นฟังก์ชันเพิ่มหรือฟังก์ชันลดในช่วงใดบ้าง ดังนี้

 

ทฤษฎีบท

ให้ f เป็นฟังก์ชันที่หาอนุพันธ์ได้ทุกๆ จุด บนช่วง ADf

1.  ถ้า f(x)>0 สำหรับทุกค่า x บนช่วง A แล้ว f จะเป็นฟังก์ชันเพิ่มบนช่วง A

2.  ถ้า f(x)<0 สำหรับทุกค่า x บนช่วง A แล้ว f จะเป็นฟังก์ชันลดบนช่วง A

 

ตัวอย่างการตรวจสอบฟังก์ชันว่าเป็นฟังก์ชันเพิ่มหรือฟังก์ชันลดบนช่วงใดบ้าง

ตัวอย่างที่ 1

กำหนดฟังก์ชัน f(x)=2x33x212x+4 จงตรวจสอบว่า f เป็นฟังก์ชันเพิ่มและฟังก์ชันลดบนช่วงใด

จาก f(x)=2x33x212x+4 จะได้

f(x)=6x26x12

ตรวจสอบช่วงที่เป็นฟังก์ชันเพิ่ม ให้ f(x)>0 จะได้

6x26x12>0x2x2>0(x+1)(x2)>0

จะได้ว่า f(x)>0 บนช่วง (,1) และ (2,)

และ f(x)<0 บนช่วง (1,2)

f เป็นฟังก์ชันเพิ่มบนช่วง (,1) และ (2,) และเป็นฟังก์ชันลดบนช่วง (1,2)


 

ตัวอย่างที่ 2

 กำหนดฟังก์ชัน f(x)=x48x2+12 จงตรวจสอบว่า f เป็นฟังก์ชันเพิ่มและฟังก์ชันลดบนช่วงใด

จาก f(x)=x48x2+12 จะได้

f(x)=4x316x

ตรวจสอบช่วงที่เป็นฟังก์ชันเพิ่ม ให้ f(x)>0 จะได้

4x316x>0x34x>0x(x24)>0x(x2)(x+2)>0

จะได้ว่า f(x)>0 บนช่วง (2,0) และ (2,)

และ f(x)<0 บนช่วง (,2) และ (0,2)

 f เป็นฟังก์ชันเพิ่มบนช่วง (2,0) และ (2,) และเป็นฟังก์ชันลดบนช่วง (,2) และ (0,2)


 

จะเห็นว่า ช่วงที่กราฟเป็นฟังก์ชันเพิ่มหรือฟังก์ชันลดนั้น จะเป็นช่วงเปิด เนื่องจากที่จุดปลายของช่วงนั้น เป็นจุดที่กราฟกำลังเปลี่ยนจากฟังก์ชันเพิ่มกลายเป็นฟังก์ชันลด หรือเปลี่ยนจากฟังก์ชันลดกลายเป็นฟังก์ชันเพิ่ม จึงไม่สามารถบอกได้ว่า ณ จุดนั้น กราฟเป็นฟังก์ชันแบบใด เราเรียกจุดเหล่านั้นว่า จุดวกกลับ  ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดในหัวข้อถัดไป

คำคล้าย : ฟังก์ชันเพิ่มและฟังก์ชันลด, ฟังก์ชันโมโนโทน, monotone function
Under Growing
"คลังความรู้" กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา พี่ๆ กำลังทยอยเพิ่มบทความและปรับปรุงรูปแบบให้อ่านง่าย ใช้ทบทวนความรู้ได้จริง รีเควสหัวข้อ หรือมีข้อเสนอแนะ ทวีตมาคุยกับพี่ๆ ได้เลยจ้า
คอร์สแนะนำ
หนังสือแนะนำ
รายละเอียดการใช้งานคุกกี้

เพื่อประโยชน์และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของ บริษัท โอเพ่นดูเรียน จํากัด (“โอเพ่นดูเรียน”) โอเพ่นดูเรียนจึงใช้คุกกี้บนเว็บไซต์ของบริษัท ทั้งนี้ คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติม เกี่ยวกับนโยบายคุกกี้ของโอเพ่นดูเรียนได้ที่ นโยบายคุกกี้ และคุณสามารถปฏิเสธคุกกี้ได้