Must กับ Have to ต่างกันยังไง หายงงในโพสต์เดียว

Must กับ Have to ต่างกันยังไง หายงงในโพสต์เดียว

Must กับ Have to แปลว่า “ต้อง” เหมือนกัน แต่ใช้แทนกันได้มั้ย เดี๋ยวครูดิวไขข้อสงสัยให้ว่า Must กับ Have to ใช้ยังไง ต่างกันตรงไหนบ้าง มาเริ่มกันเลยค่ะ

Must กับ Have to ต่างกันยังไง
หายงงในโพสต์เดียว

 

Must

/มัสทฺ/
 

แปลว่า “ต้อง” ที่ใช้บอกเล่าความจำเป็นและภาระที่เราคิดไว้ว่าเราต้องทำเอง อยู่ในบริบทที่เราคิดเองเออเองว่าเราต้องทำ เช่นตอนนี้เราอ้วนจนมีโรคประจำตัว เรารู้สึกว่าการออกกำลังกายจะช่วยแก้ปัญหาโรคได้เราจึงสั่งตัวเองให้ไปลดน้ำหนัก นี่ก็คือตัวอย่างบริบทของการใช้ Must ทีนี้เราไปดูกันดีกว่าว่า Must ใช้ยังไง

 

การใช้ Must
มี 3 กรณีต่อไปนี้

 

1. บังคับให้ทำเป็นการทำที่เราจะพูดเองหรือเป็นกำหนดเรากำหนดเอง หรือพูดง่าย ๆคือการบังคับที่เกิดขึ้นจากตัวเราเอง
ตัวอย่าง
I must stop smoking now. (ฉันต้องหยุดสูบบุหรี่แล้วล่ะ)
**บังคับตัวเองให้เลิกบุหรี่ได้แล้วด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ดีต่อสุขภาพ

 

2. กำหนดเป็นกฎหรือหน้าที่ที่ต้องทำ เช่นกฎหรือข้อตกลงที่เราบอกให้คนอื่นทำตาม
ตัวอย่าง
You must not drink at work. (ห้ามดื่มแอลกอฮอลในเวลางาน)
**เราเขียนป้ายหรือสั่งคนอื่นต้องไม่ดื่มเหล้าในเวลางาน

You must identify your ID before entering the building. (คุณต้องแสดงบัตรประจำวันก่อนเข้าไปในอาคาร)
**เป็นกฎที่ถูกตั้งไว้ว่าต้องแสดงบัตรประชาชนก่อนเข้าไปในอาคาร

 

3. สรุปความคิดเห็นของเราที่อ้างอิงจากความเป็นจริง
ตัวอย่าง
In order to pass the exam, you must study harder. (เพื่อที่จะสอบให้ผ่าน คุณต้องขยันมากกว่านี้)
**บอกเป็นความเห็นที่ตรงกับความเป็นจริงว่า จะสอบให้ผ่านก็ต้องขยันเรียนให้มากกว่านี้

 

โครงสร้างประโยคการใช้ Must

 

โครงสร้างประโยคการใช้ Must นั้นง่ายมากค่ะ เพราะ Must ถือว่าเป็น Modal verb หรือกริยาช่วยโครงสร้างประโยคจึงมีแค่

ประธาน + must + กริยาช่อง 1 (+ กรรม)

 

ในกรณีที่เป็นรูปปฏิเสธ

 

Must ในรูปปฏิเสธสามารถใช้ได้โดยเติม Not ตามหลัง Must และค่อยตามด้วยกริยาช่อง 1

ประธาน + must + not + กริยาช่อง 1 (+ กรรม)

ตรงกันข้ามกับบริบทประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธของ Must ก็คือการบอกว่าไม่ต้องทำสิ่งใดนั่นเอง เช่น

 

ตัวอย่าง
I must not panic when she says my name. (ฉันต้องไม่ตื่นตูมเมื่อเธอเรียกชื่อฉัน)
**เป็นการสั่งตัวเองว่า “ต้องไม่” ทำอะไรค่ะ

 

เป๊ะแกรมมาร์พูดไม่ติดขัด ผ่านทุกสนามต้อง Grammar GO!

 

Have to

/แฮฟ-ทู/

 

แปลว่า “ต้อง” หรืออีกคำแปลนึงคือ “จำเป็นต้อง” เพราะมีน้ำหนักการต้องทำน้อยกว่า must และใช้ในบริบทที่เราจำเป็นต้องทำเพราะคนอื่นบอกให้ทำหรือเราบอกตัวเองว่าจำเป็นต้องทำเพราะถูกกฎหรือข้อบังคับของคนอื่นสั่งให้เราทำอีกที รวมถึงกิจวัตรประจำวันที่เป็นภาระที่เราต้องทำอยู่แล้วเช่นกัน เช่นเราอยากไปงานแต่งงานเพื่อนแล้วเพื่อนกำหนดธีมชุดให้เป็นสีฟ้า เราจำเป็นต้องใส่สีฟ้าเพราะกฎคนอื่นสั่งมา นี่คือตัวอย่างบริบทของการใช้ Have to เรามาดูกันค่ะว่า Have to ใช้ยังไงบ้าง

 

การใช้ Have to
มี 3 กรณีต่อไปนี้

 

1. เป็นกฎของคนอื่นที่เราต้องทำหรือสถานการณ์บังคับให้ทำ เช่นถูกสั่งหรือถูกขอให้ทำ
ตัวอย่าง
To enter the exhibition, I have to buy a ticket first. (เพื่อที่จะเข้างานนิทรรศการได้ ฉันต้องซื้อตั๋วก่อน)
**เป็นกฎที่คนอื่นตั้งให้เราทำ จะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ แต่ถ้าจะเข้างานยังไงก็ต้องทำนะคะ

 

2. ใช้เล่ากิจวัตรประจำวันที่ทำเป็นปกติ
ตัวอย่าง
He has to take his sister to school on weekdays. (เขาต้องไปส่งน้องสาวของเขาไปโรงเรียนทุกวันธรรมดา)
**เป็นกิจวัตรประจำวันที่เขาต้องทำอยู่แล้ว

 

3. เล่าถึงสิ่งที่จำเป็นต้องทำในอดีตหรือพูดถึงสิ่งที่จำเป็นต้องทำในอนาคต
ตัวอย่าง
She had to do it because it saved her a lot of time. (หล่อนต้องทำมันเพราะมันได้ช่วยหล่อนประหยัดเวลาได้เยอะเลย)
I will have to wear the uniform if I want to study there. (ฉันจะต้องใส่เครื่องแบบถ้าฉันอยากเรียนที่นั่น)
**Have to จะสามารถใช้กับ Past tense และ Future tense ได้ ในขณะที่ Must ใช้ได้แค่กับ Present tense

 

โครงสร้างประโยคการใช้ have to

 

โครงสร้างประโยคบอกเล่าของ Have to ก็เหมือน Must ค่ะ คือ Have ทำหน้าที่เป็น Modal verb หรือกริยาช่วยดังนั้นกริยาที่ตามหลังจึงเป็นช่อง 1 ค่ะ

ประธาน + have/has/had to + กริยาช่อง 1 (+กรรม)

 

ในกรณีที่เป็นรูปปฏิเสธ

Have to ในรูปปฏิเสธนั้นจะไม่เหมือนกับ Must ที่ตามด้วย Not ได้ทันที แต่ต้องใช้ Do not หรือ Don’t นำหน้าก่อน Have to ค่ะ

ประธาน + do not + have to + กริยาช่อง 1 (+กรรม)

บริบทคล้ายกับประโยคปฏิเสธของ must not เลย คือ Don’t have to ก็คือการบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดค่ะ เช่น

ตัวอย่าง
You don’t have to do it. (คุณไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็ได้)
I didn’t have to wear this shirt but I did. (ฉันไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อตัวนี้เลยแต่ก็ดันใส่ไปแล้ว)

 

           ทีนี้เราลองมาทำแบบฝึกหัดเล็ก ๆน้อยกันบ้างดีกว่า โดยแบบฝึกหัดจะเป็นการทบทวนความเข้าใจของนักเรียนนะคะว่า เราเข้าใจหลักการและข้อแตกต่างของ Must กับ Have to ไปแล้วหรือยังนะคะ มาเริ่มกันเลย

 

แบบฝึกหัด

 

1. ตอนนี้เราสุขภาพไม่ดีแล้ว เรารู้สึกว่าเราต้องออกกำลังกายเราควรพูดว่ายังไงคะ

A. I must exercise now.
B. I have to exercise now.

 

2. เรากำลังเดินเข้าไปในร้านค้า แล้วเจอป้ายเขียนสั่งให้เราต้องสวมหน้ากากอนามัย เราจะบอกกับตัวเองว่าไงคะ

A. I must wear a mask.
B. I have to wear a mask.

 

3. ตอนนี้เราจัดงานแต่งอยู่และเราตั้งกฎของเราเองว่าทุกคนต้องใส่ชุดธีมสีฟ้า เราจะบอกว่าอะไรคะ

A. You must wear a blue outfit. This is our dress code.
B. You have to wear a blue outfit. This is our dress code.

 

4. เราเล่าเรื่องราวให้เพื่อนฟังว่า วันก่อนมีเพื่อนผู้หญิงคนนึงต้องทำการบ้านมากกว่าคนอื่นเพราะดันไปพูดไม่ดีกับคุณครู เราจะพูดว่ายังไงคะ

A. My friend Sarah. She must did more homeworks than her classmates because she insulted her teacher.
B. My Friend Sarah. She had to do more homeworks than her classmates because she insulted her teacher.

 

5. เราเห็นคนนึงตัวเล็กมาก เราเลยเดาว่าเขาน่าจะอายุต่ำกว่า 5 ปี เราจะพูดว่ายังไงคะ

A. This kid is so small. He must be less than 5 years old.
B. This kid is so small. He have to be less than 5 years old.

 

6. แม่บอกให้เราไปซื้อให้หน่อย แล้วเราต้องออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตเราจะพูดยังไงคะ

A. I must go to the supermarket.
B. I have to go to the supermarket.

 

เฉลย

 

1. ตอนนี้เราสุขภาพไม่ดีแล้ว เรารู้สึกว่าเราต้องออกกำลังกายเราควรพูดว่ายังไงคะ
ตอบ A. I must exercise now. (ฉันต้องออกกำลังกายแล้วล่ะ)
        
เพราะเป็นไปตามกรณีของ Must ข้อที่ 1 ที่เราบังคับตัวเองให้ทำด้วยความรู้สึกของเราเองที่เห็นว่าเราสุขภาพไม่ดีแล้ว การออกกำลังกายน่าจะช่วยได้

 

2. เรากำลังเดินเข้าไปในร้านค้า แล้วเจอป้ายเขียนสั่งให้เราต้องสวมหน้ากากอนามัย เราจะบอกกับตัวเองว่าไงคะ
ตอบ B. I have to wear a mask.
(ฉันต้องใส่หน้ากากอนามัย)
        เพราะเป็นไปตามกรณีของ Have to ข้อที่ 1 เราถูกบังคับด้วยกฎของคนอื่น ซึ่งเราสามารถทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ แต่เพื่อที่จะเข้าร้านได้ก็จำเป็นต้องทำ

 

3. ตอนนี้เราจัดงานแต่งอยู่และเราตั้งกฎของเราเองว่าทุกคนต้องใส่ชุดธีมสีฟ้า เราจะบอกว่าอะไรคะ
ตอบ A. You must wear a blue outfit. This is our dress code.
(คุณต้องแต่งเครื่องแต่งกายด้วยสีฟ้า นี่คือกฎการแต่งกายของเรา)
        
เพราะเป็นไปตามกรณีของ Must ข้อที่ 2 ที่เราเป็นคนตั้งกฎนี้เองจากความคิดของเราและเราก็นำไปบอกให้กับคนอื่นว่าคุณต้องทำแบบนี้หรือแบบนั้นนะเพื่อเป็นไปตามกฎของเรา

 

4. เราเล่าเรื่องราวให้เพื่อนฟังว่า มีเพื่อนผู้หญิงคนนึงต้องทำการบ้านมากกว่าคนอื่นเพราะดันไปพูดไม่ดีกับคุณครู เราจะพูดว่ายังไงคะ
ตอบ B. My Friend Sarah. She had to do more homeworks than her classmates because she insulted her teacher.
(เพื่อนของฉันซาราห์ หล่อนต้องทำการบ้านมากกว่าเพื่อน ๆในห้องเพราะเธอดันไปพูดไม่ดีกับคุณครูของหล่อน)
        เพราะเป็นไปตามกรณีของ Have to ข้อที่ 3 ว่าการพูดถึงใครกับอะไรที่ต้องทำในอดีตจะมีแค่ Have to เท่านั้นที่ใช้กับประโยคในรูป Past tense กับ Future tense ได้

 

5. เราเห็นคนนึงตัวเล็กมาก เราเลยเดาว่าเขาน่าจะอายุต่ำกว่า 5 ปี เราจะพูดว่ายังไงคะ
ตอบ A. This kid is so small. He must be less than 5 years old.
(เด็กคนนี้ตัวเล็กมากเลย เขาต้องอายุน้อยกว่า 5 ขวบแน่ ๆ)
        เพราะเป็นไปตามกรณีของ Must ข้อที่ 3 ว่าการพูดความคิดเห็นของเราในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราต้องใช้ Must เพราะเราสรุปเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเองตามหลักความจริงที่เราเห็นว่า ตัวเขาเล็กดังนั้นคนตัวเล็กก็น่าจะอายุไม่เกิน 5 ขวบก็ได้

 

6. แม่บอกให้เราไปซื้อให้หน่อย แล้วเราต้องออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตเราจะพูดยังไงคะ
ตอบ B. I have to go to the supermarket.
(ฉันต้องไปซูเปอร์มาร์เก็ต)
        เพราะเป็นไปตามกรณีของ Have to ข้อที่ 1 ที่เราถูกคนอื่นขอให้หรือบังคับให้เราไปทำนั่นเองค่ะ

 

        และก็จบกันไปแล้วนะคะสำหรับสรุปเรื่อง Must กับ Have to ต่างกันยังไง ครูดิวสรุปมาให้ครบจบทุกกรณีเลยว่า Must ใช้ในกรณีไหนได้บ้าง Have to ใช้กรณีไหนได้บ้าง ถ้ายังจำไม่หมดครูดิวมีตารางสรุปสั้น ๆให้ค่ะ

Must

Have to

แปลว่า ต้อง

แปลว่า ต้อง / จำเป็นต้อง

ระดับความจำเป็น 100%

ระดับความจำเป็น 50%

แบ่งเป็น 3 กรณี

1. พูดถึงสิ่งที่เราบังคับให้ตัวเองต้องทำ

2. เรากำหนดเป็นกฎให้เราและคนอื่นทำตาม

3. สรุปความเห็นของเราโดยอิงจากความจริงที่เราเห็น

แบ่งเป็น 3 กรณี

1. พูดถึงสิ่งที่คนอื่นบังคับให้เราทำ

2. พูดถึงกิจวัตรประจำวันที่เราจำเป็นต้องทำประจำ

3. เล่าถึงสิ่งที่จำเป็นต้องทำในอดีตหรือสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำในอนาคต

โครงสร้าง
ปธ. + must + กริยา V.1 (+กรรม)

โครงสร้าง
ปธ. + have to + กริยา V.1 (+กรรม)

รูปปฏิเสธใช้
must not + กริยา V.1

รูปปฏิเสธใช้
don’t have to + กริยา V.1

ใช้ได้แค่กับ Present tense

ใช้ได้ทั้ง Present tense, Past tense และ Future tense

 

สำหรับใครที่สนใจอยากเรียนแกรมมาร์ภาษาอังกฤษให้เป๊ะ เหมือนกับใช้ Must กับ Have to ได้ถูก ครูขอแนะนำหนังสือ Grammar GO! สอนแกรมมาร์เนื้อหาแน่นครบทุกส่วน ตั้งแต่ Part of speech ไปจนถึง If-Clause เลย หนังสือมาแพ็คคู่พร้อมกับคอร์สเรียนแกรมมาร์ออนไลน์กับครูดิว ไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็เรียนง่ายด้วยเทคนิคการจำพร้อมกลอนแกรมมาร์ภาษาอังกฤษแต่งโดยครูดิวเองเลย ในหนังสือยังมาพร้อมกับแอนิเมชั่นกราฟฟิกน่ารัก มีเรื่องราวให้อ่านระหว่างเรียนจนเหมือนกำลังเรียนไปพร้อมผจญภัยไปด้วย เหมาะสำหรับคนที่พอมีพื้นฐานภาษาอังกฤษอยู่แล้วแต่ต้องการเก็งแกรมมาร์ภาษาอังกฤษให้เป๊ะขึ้น สอบกี่สนามก็ได้คะแนนเต็มรัว ๆไปเลยค่า

 

เป๊ะแกรมมาร์พูดไม่ติดขัด ผ่านทุกสนามต้อง Grammar GO!

สั่งซื้อหนังสือ Grammar GO! พร้อมคอร์สเรียน คลิกเลย!

 

แต่ถ้าอยากติวคอร์ส KruDew ติว TOEIC® มีให้ครบทุกอย่าง! 

ติว TOEIC ครูดิว พร้อมลองทำข้อสอบเหมือนจริง

ติว TOEIC กับครูดิว ดียังไง?

  • คอร์สติว TOEIC ของครูดิวนั้น เรียน Online
  • แบ่งบทเรียนชัดเจน เรียนง่ายไม่งง คลิ๊กเลือกบทเรียนที่ต้องการได้ทันที
  • สามารถหยุด, เล่นซ้ำบทเรียนที่ต้องการได้แบบไม่อั้น! (ตลอดระยะเวลาคอร์ส)
  • อัพเดทข้อสอบ New TOEIC ใหม่ล่าสุด! ครบชุด!
  • มีไฟล์ E-Book (PDF) ประกอบการเรียนให้ดาวน์โหลด (และมีหนังสือเรียนเป็นเล่มส่งให้ถึงบ้าน)
  • เรียนเวลาไหนก็ได้ อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ แค่มี Internet

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับบทเรียน สามารถส่งคำถามหาทีมงานได้

การันตีคะแนน 750+ (หากสอบแล้วไม่ถึง สามารถแจ้งทวนคอร์สได้ฟรี!)

 

ถ้ายังไม่แน่ใจ? ทดลองติวฟรีก่อนได้ที่ >>> คอร์ส KruDew TOEIC®

 

TOEIC® and TOEFL® are registered trademarks of Educational Testing Service (ETS). This product is not endorsed or approved by ETS.