รวม 11 ประโยค ENG โครตง่ายที่คนยังใช้ผิดบ่อย

รวม 11 ประโยค ENG โครตง่ายที่คนยังใช้ผิดบ่อย

สวัสดีค่ะนักเรียน วันนี้ครูดิวจะมาสอนพูดประโยคภาษาอังกฤษที่เรามักใช้กันผิด ซึ่งครูบอกเลยว่าโพสต์นี้ครูดิวจะช่วยเคลียร์ให้นักเรียนทุกคนว่าประโยคไหนใช้อย่างไร มีโครงสร้างแบบไหน อ่านรอบเดียวจำไปพูดได้เลยค่ะ แถมแต่ละประโยคครูก็มีประโยคอื่นที่ความหมายเดียวกันมาช่วยเสริมให้ด้วยนะ จะได้จำไปใช้พูดได้ทีเดียวหลายคำเลย มาเริ่มกันเลยค่ะ

รวม 11 ประโยค ENG โครตง่าย
ที่คนยังใช้ผิดบ่อย

สับสนว่า Excuse me. กับ I’m sorry. ใช้ได้เหมือนกัน

    ทั้ง 2 คำนี้แปลว่า ขอโทษ ในภาษาอังกฤษแต่ใช้ต่างบริบทกันค่ะ Excuse me /อิกซคิส์ว-มี/ จะใช้เมื่อเรากำลังรบกวนขอให้คนอื่นทำอะไรให้เราเช่นขอให้หลีกทางให้ ในขณะที่ I’m sorry /ไอม-ซอรี/ จะใช้เมื่อเรากำลังขอโทษ ขออภัยในสิ่งที่เราทำผิดไปหรือใช้เป็นคำว่า ฉันเสียใจ ในภาษาอังกฤษก็ได้เมื่อแสดงความเสียใจแก่ใครสักคน

    นอกจาก Excuse me แล้ว ยังสามารถใช้คำเหล่านี้มาพูดแทนได้ด้วย ในกรณีที่เราอยากขอรบกวนคนอื่นให้ทำอะไรให้เรา

 

Pardon me.
/พาเดิน-มี/
ขอโทษนะ

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Pardon me, could you pass me a spoon, please?
(ขอโทษนะคะ รบกวนช่วยส่งช้อนมาให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ)
B: Sure, no problem.
(ได้เลยค่ะ ไม่มีปัญหา)

 

I beg your pardon.
/ไอ-เบก-เยอรฺ-พาเดิน/
ขอความกรุณาหน่อย

 

ตัวอย่างบทสนทนา

A: I beg your pardon. Could you tell me the way to the nearest police
station?
(ขอความกรุณาหน่อยค่ะ รบกวนช่วยบอกทางไปสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดได้ไหมคะ)
B: Turn the first left over there and you’ll see.
(เลี้ยวซ้ายแรกตรงนั้นแล้วคุณจะเจอเลย)

 

    นอกจาก I’m sorry แล้ว การพูดขอโทษเป็นภาษาอังกฤษยังสามารถใช้คำเหล่านี้ได้อีกด้วยค่ะ

 

My apologies.
/มาย-เออะพอเลอะจีส์/
ฉันขอโทษ

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: My apologies for taking it too seriously.
(ขอโทษนะที่จริงจังมากไป)
B: It’s okay.
(ไม่เป็นไร)

 

I owe you an apology.
/ไอ-โอว-ยู-เอิน-เออะพอเลอะจี/
ฉันติดค้างคำขอโทษคุณ

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: I think I owe you an apology.
(ฉันว่าฉันติดค้างคำขอโทษกับคุณนะ)
B: No need.
(ไม่ต้องหรอก ไม่เป็นไร)

 

My bad.
/มาย-แบด/
โทษที / ฉันผิดเอง

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Hey! Be careful.
(เฮ้ย! ระวังหน่อยสิ)
B: Oops! My bad.
(อุ๊ย! โทษที)

 

    สำหรับคำว่า My apologies และ I owe you an apology สามารถใช้เป็นคำขอโทษในเชิงทางการได้ด้วยค่ะ ส่วน My bad จะค่อนข้างไปทางขอโทษในเรื่องที่ความผิดมันเล็กน้อยค่ะหรือใช้แทนคำว่า โทษที หรือ ฉันผิดเอง ในภาษาอังกฤษแนวภาษาชาวบ้านก็ได้ค่ะ มาต่อที่ข้อผิดพลาดที่ข้อ 2 กันเลย

 

Where you from?

    การยิงคำถามภาษาอังกฤษว่า คุณมาจากไหน ก็เป็นอีกหนึ่งประโยคที่คนหัดพูดภาษาอังกฤษอาจมักพูดผิด เพราะส่วนใหญ่จะได้ยินฝรั่งพูดว่า Where are you from? แบบเร็วราวกับว่าเขารวบเสียง Where are เข้าด้วยกัน เลยเข้าใจว่าเป็น Where you from? แต่จริง ๆแล้วไม่ใช่ค่ะ คำถามที่ถูกรูปประโยคจริง ๆคือ

 

Where are you from?
/แวร์-อาร์-ยู-เฟริม/
คุณมาจากไหน

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Where are you from?
(คุณมาจากไหนเหรอ)
B: I’m from Thailand.
(ฉันมาจากประเทศไทย)

 

    นอกจาก Where are you from? แล้วยังสามารถใช้อีกประโยคถามได้เหมือนกันค่ะความหมายเดียวกันแต่เปลี่ยนจาก do เป็น are แล้วมีคำว่า come ค่ะ แปลว่า คุณมาจากไหน ค่ะ

 

Where do you come from?
/แวร์-ดู-ยู-คัม-เฟริม/
คุณมาจากไหน


ตัวอย่างบทสนทนา
A: Where do you come from?
(คุณมาจากไหนเหรอ)
B: I come from New York.
(ฉันมาจากนิวยอร์ก)

 

    เกล็ดความรู้เล็กน้อย Where are you from? กับ Where do you come from? จะมีความแตกต่างในเชิงความหมายเล็กน้อยค่ะ แต่ก็ยังใช้แทนกันได้แทบทุกสถานการณ์ คือ Where are you from? มักถามเพื่อเจาะจงสถานที่ต้นกำเนิดว่าเราเป็นใครมาจากไหน เช่นเราเป็นคนไทยแล้วไปต่างประเทศ ได้ยินคำถามนี้คือเขาอยากรู้ว่าเรามาจากไหนมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอะไรเราก็จะตอบว่า I’m from Thailand. ส่วน Where do you come from? จะค่อนข้างเจาะจงไปทางรายละเอียดสถานที่ทั่วไปที่เราจากมา เช่น เมือง อำเภอ บ้าน หรือสถานที่อื่น ๆ เป็นต้นค่ะ มาต่อกันที่ข้อผิดพลาดข้อที่ 3 กันเลย

 

You eat yet?

ในการถามว่า ทานข้าวหรือยัง ในภาษาอังกฤษครูเห็นหลายคนมากมักจะแปลตรงตัวเลยคือ คุณกินข้าวหรือยัง เป็น You eat yet? คุณ กิน ยัง แบบนี้ไม่ได้นะคะ ผิดรูปประโยคแล้วยังผิดแกรมมาร์ด้วยค่ะ การถามคนอื่นว่าทานข้าวหรือยังในภาษาอังกฤษให้ใช้ประโยคคำถาม Present perfect นะคะ ก็คือ Have you eaten yet? /แฮฟ-ยู-อีเทิน-เยท/ ในการใช้ประโยคคำถาม Have you + กริยาช่อง 3 นี้เป็นโครงสร้างประโยคคำถามในบริบท “หรือยัง” ที่ถูกต้องและควรใช้มากที่สุดแล้วค่ะ

 

Have you ____ yet?
/แฮฟ-ยู-_____-เยท/
คุณ____หรือยัง

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Have you had lunch yet?
(คุณทานข้าวกลางวันหรือยัง)
B: No, I haven’t.
(ยังไม่ได้ทานเลย)

 

    นอกจากคำว่า ….หรือยัง แล้วยังมีอีกรูปประโยคที่ขึ้นต้นด้วย Have เพื่อใช้ในการตั้งถามว่า เคย….หรือยัง ในภาษาอังกฤษได้อีกด้วยค่ะ โดยใช้รูปประโยคตามนี้ค่ะ

 

Have you ever ____?
/แฮฟ-ยู-เอเวอร์-_____/
คุณเคย___หรือยัง

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Have you ever watched the Harry Potter movies?
(คุณเคยดูหนังเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์หรือยัง)
B: Yes! They are my favorites!
(แหงละ! พวกนี้เป็นหนังโปรดฉันเลย)

 

    ตามนี้นะคะ ถามเป็นภาษาอังกฤษว่า คุณได้ทำอะไรหรือยัง ให้พูดว่า Have you ____ yet? หากต้องการถามว่า “เคยทำอะไรบางอย่างหรือยัง” ในภาษาอังกฤษให้พูดว่า Have you ever ____? นะคะ ต่อไปข้อผิดพลาดที่ 4 ค่ะ

 

Don’t serious. - อย่าเครียด

    ครูเห็นหลายคนเวลาอยากพูดปลอบใครเป็นภาษาอังกฤษว่าไม่ให้คิดมากหรือเครียดเนี่ยครูมักจะได้ยินพวกเราพูดว่า Don’t serious ซึ่งแปลตรงตัวก็คือ อย่าเครียดหรืออย่าคิดจริงจังกับมัน ซึ่งเกือบถูกแล้วค่ะ แต่ยังขาด verb to be ตรงกลางเพื่อต่อเติมประโยคให้ถูกต้องค่ะ ดังนั้นให้เราเติม be เข้าไปตรงกลางแล้วพูดว่า 

 

Don’t be serious
/ดอนท-บี-ซีเรียส/
อย่าเครียดไปนะ / อย่าจริงจังกับมันเลย

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Don’t be serious, John. It’s just a joke.
(อย่าเครียดไปหน่าจอห์น ก็แค่เล่นกันขำ ๆ)
B: Yeah, please don’t do that again.
(ก็ได้ อย่าทำแบบนั้นอีกนะขอล่ะ)

 

    นอกจากนี้ครูยังมีประโยคอื่นที่สามารถใช้แทน Don’t be serious ได้ด้วยนะคะเพื่อให้สถานการณ์และน้ำเสียงเราดูนุ่มนวลและฟังดูไม่ทำให้บรรยากาศตึงไปมากกว่านี้ค่ะ เป็นประโยคปลอบใจคนในภาษาอังกฤษที่ฝรั่งใช้กันทั่วไปและเราควรนำไปใช้เหมือนกันค่ะ

 

Don’t worry.
/ดอนท-เวอรี/
อย่ากังวลไปเลย/ไม่ต้องห่วงนะ

 


ตัวอย่างบทสนทนา
A: Tomorrow is the final exam day!
(พรุ่งนี้วันสอบปลายภาคแล้ว!)
B: Don’t worry. You can do it!
(ไม่ต้องกังวลนะ คุณทำได้อยู่แล้ว!)

 

There’s nothing to worry about.
/แดร์ส-นอทธิง-ทู-เวอรี-เออะเบาท์/
ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลเลย

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Wait! What happened to our TV? Why is it suddenly turned off?
(เดี๋ยว! เกิดอะไรขึ้นกับทีวีของเรา ทำไมมันถึงได้ดับไปแบบนั้นล่ะ)
B: There’s nothing to worry about. I just accidently unplugged it.
(ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก ฉันแค่เผลอไปถอดปลั๊กมันเฉย ๆ)

 

    ตามนี้นะคะต่อไปอย่าเผลอพูดว่า Don’t serious อีกนะ มาต่อกันที่ข้อผิดพลาดข้อที่ 5 กัน

 

I no have ___. - ฉันไม่มี

    ในการพูดภาษาอังกฤษว่า ไม่มี หลายคนมักจะใช้ no have + คำนาม ก็คือตรงตัวจากภาษาไทยเลยว่า no = ไม่ have = มี กลายเป็น No have = ไม่มี อันนี้ถือว่าไม่ได้ค่ะ นอกจากผิดรูปประโยคแล้วยังผิดแกรมมาร์ด้วยค่ะ หากเราอยากพูดว่า “ไม่มี” เป็นภาษาอังกฤษ ให้ใช้ประโยคนี้ค่ะ

 

I don’t have ____.
/ไอ-ดอนท-แฮฟ _____/
ฉันไม่มี

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Do you have a spare pen?
(มีปากกาเหลือให้ใช้บ้างไหม)
B: I don’t have it.
(ฉันไม่มีเลยอะ)

 

    หรือจะพูดประโยคนี้ก็ได้ค่ะ เอา no กับ have มาสลับที่กันให้ถูกแกรมมาร์และโครงสร้างตามนี้ค่ะ ประธาน + have no + คำนาม ก็ถือว่าใช้พูดได้แล้วค่ะและไม่ต้องกลัวว่าประโยคนี้ผิดเพราะฝรั่งก็ใช้พูดสลับ ๆกับ I don’t have เช่นกันค่ะ อารมณ์ของประโยคนี้ก็ออกมาเชิงย้ำด้วยค่ะว่า have no + คำนาม นั้นคือไม่มีสิ่งนั้นจริง ๆค่ะ

 

I have no ____.
/ไอ-แฮฟ-โน _____/
ฉันไม่มี

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Oh no, I have no cash. I only pay by cards. Do you have some cash I can borrow?
(ไม่นะ ฉันไม่มีเงินสดเลย ฉันชอบจ่ายด้วยบัตรเท่านั้น คุณพอมีเงินสดให้ฉันยืมบ้างไหม)
B: Sure, here it is.
(มีสิ เอาไปเลย)

 

    อย่าลืมนะ I no have ____. ไม่พูดกันนะคะมีแต่ I have no ____. หรือใช้ I don’t have ____. ก็ได้ มาต่อกันที่ข้อผิดพลาดต่อไปกันค่ะ

 

Never mind. - ไม่เป็นไร / ไม่ต้องใส่ใจ

    คำนี้คือครูเห็นหลายคนใช้บ่อยมาก ใครที่กำลังฝึกพูดภาษาอังกฤษคือจำไปใช้กันติดปากเลยกับคำว่า Never mind ที่แปลว่า ไม่เป็นไร ตามที่เราเข้าใจอยู่แล้วค่ะ แต่ความหมายของ Never mind เนี่ยเป็นการพูดคำว่า ไม่เป็นไรหรือไม่ต้องใส่ใจค่ะ พูดด้วยหน้าเจื่อน ๆหรืออารมณ์นิ่ง ๆของฝรั่งค่ะ เหมือนเราทำคนอื่นไม่พอใจ แล้วเราไปขอโทษเค้าแต่เค้าก็ยังไม่พอใจอยู่ดีแต่ก็ยอม ๆปล่อยวางให้เราแบบไม่เต็มใจ เค้าก็จะพูดว่า Never mind กันค่ะ พอเก็ทภาพไหมคะ อารมณ์ประมาณว่า ช่างมัน! ไม่เป็นไร ดังนั้นครูแนะนำประโยคมีความหมายว่า ไม่เป็นไร ในแบบนุ่มนวลกว่าที่ฝรั่งมักใช้กันประจำนะคะ

 

It doesn’t matter.
/อิท-ดัสเซิน-แมเดอร์/
ไม่เป็นไร

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Hey, I’m sorry about what happened.
(เฮ้ ฉันขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยนะ)
B: It doesn’t matter. Don’t overthink it.
(ไม่เป็นไรหรอก อย่าไปคิดมากเลย)

 

No problem.
/โน-พลอเบลิม/
ไม่มีปัญหา

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Thanks for helping me.
(ขอบคุณที่ช่วยฉันนะ)
B: No problem.
(ไม่มีปัญหา)

 

It’s nothing.
/อิทส-นอทธิง/
ไม่มีอะไรหรอก / ไม่เป็นไร

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Sorry for bumping into you.
(ขอโทษที่เดินชนคุณนะ)
B: It’s nothing. Just be careful next time.
(ไม่เป็นไร คราวหน้าก็ระวังด้วยละกัน)

 

Not at all.
/นอท-แอท-ออล/
ไม่เป็นไรเลย

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Thank you for taking care of my sister.
(ขอบคุณที่ช่วยดูแลน้องสาวฉันนะ)
B: Not at all. It was my pleasure.
(ไม่เป็นไรเลย ยินดีอยู่แล้ว)

 

    4 ประโยคนี้นะคะสามารถนำไปพูดแทนคำว่า ไม่เป็นไร ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งการตอบรับคำขอโทษหรือคำขอบคุณได้เหมือนกันเลยค่ะ มาต่อกันที่ข้อผิดพลาดข้อที่ 7 กันค่ะ

 

Where you go? - คุณจะไปไหน

    ในการตั้งคำถามว่า คุณจะไปไหน เป็นภาษาอังกฤษ ประโยคนี้นี้เป็นประโยคที่มีโอกาสได้ใช้ตลอดเลยค่ะ แต่หลายคนทั้งเอาไปพูดและเอาไปเขียนมักจะเขียนผิดอยู่เหมือนกันค่ะคือตก verb to be และผัน go เติม -ing ค่ะ ดังนั้นเวลาจะถามเป็นภาษาอังกฤษว่าคุณจะไปไหนให้ใช้ประโยคนี้ค่ะ

 

Where are you going?
/แวร์-อาร์-ยู-โกอิง/
คุณจะไปไหน

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Jack, where are you going?
(แจ็ค นายกำลังจะไปไหนน่ะ)
B: I’m going to the store. Need anything?
(กำลังไปร้านค้า จะเอาอะไรไหม)

 

    นอกจากประโยคถามว่าจะไปไหนแล้ว ครูยังมีอีก 2 ประโยคมาเพิ่มให้เราด้วยค่ะ คือประโยคเอาไว้ถามว่า เมื่อวานไปไหนมาและคุณไปอยู่ไหน ซึ่งประโยคสุดท้ายเนี่ยเอาไว้ถามเวลาเราไม่เจอเพื่อนมานานได้ค่ะ

 

Where did you go yesterday?
/แวร์-ดิด-ยู-โก-เยสเตอร์เดย์/
เมื่อวานคุณไปไหนมา

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Where did you go yesterday?
(เมื่อวานคุณไปไหนมา)
B: I went to my hometown.
(ฉันกลับไปที่บ้านเกิดมา)

 

Where have you been?
/แวร์-แฮฟ-ยู-บิน/
คุณไปอยู่ไหนมา

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: I haven’t seen you for ages! Where have you been all this time?
(โหยไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยอะ! ที่ผ่านมาไปอยู่ไหนมาเนี่ย)
B: Moved to New York City. I’ve been living there since then.
(ย้ายไปอยู่นครนิวยอร์กแล้ว ฉันอาศัยอยู่ที่นั่นนับตั้งแต่ตอนนั้นเลย)

 

    ตามนี้นะคะ เห็นเพื่อนกำลังจะออกไปไหนถาม Where are you going? อยากรู้ว่าเพื่อนไปไหนมา Where did you go? ไม่เจอเพื่อนนานหรืออยากรู้ว่าใครหายไปไหนมาให้ถามว่า Where have you been? น้า มาต่อกันที่ข้อผิดพลาดต่อไปกันค่ะ

 

It’s very funny. - มันสนุกมาก

    ประโยคนี้ครูพูดเลยว่าต้องมีคนใช้ผิดหรือเคยใช้ผิดแน่นอนค่ะ เพราะอาจจะเข้าใจผิดว่า Funny ก็แปลว่า สนุก เลยเอาไปพูดว่า It’s very funny. เพื่อเป็นการบอกว่ามันสนุกมาก แต่จริง ๆแล้ว Funny แปลว่า ตลก  ส่วนคำว่า สนุก คือ Fun ค่ะไม่มี -ny ตามหลัง ดังนั้นถ้าเราจะบอกว่ามันสนุกมากให้ใช้คำว่า Fun ตามนี้เลยค่ะ

 

It is so fun.

/อิท-อิส-โซ-ฟัน/

มันสนุกมาก

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Have you seen Avatar 2?
(ได้ไปดูอวตารภาค 2 มาหรือยัง)
B: Sure, I have! It is so fun.
(แหงล่ะ! ดูแล้ว สนุกมากเลย)

 

    ส่วนการบอกว่า ตลกมาก ในภาษาอังกฤษก็แค่เติม -ny เข้าไปหลัง fun ค่ะกลายเป็น funny ทุกอย่างที่เราพูดคำว่า funny ด้วยก็จะหมายถึงอะไรที่ตลกเลยค่ะ เช่น

 

That is so funny.
/แดท-อิส-โซ-ฟันนี/
นั่นมันโครตตลกเลยอะ

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Hahaha! That is so funny.
(ฮ่า ๆ ๆ! ตลกมาก ๆเลย)
B: It sure is! Glad you get it.
(ก็ต้องตลกสิ ดีนะที่เธอเก็ทมุกอะ)

 

    ถ้าจะบอกว่าตลกมาก ๆ ขำกลิ้งจนท้องแข็งเลยครูมีอีกคำนึงแนะนำให้ค่ะคือคำว่า Hilarious นำไปใช้พูดกันได้เลยค่ะ

 

It’s hilarious.

/อิทส-ฮิเลเรียส/
มันตลกมาก ๆเลยอะแกแทบขำกลิ้ง

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Have you seen the latest show?
(ได้ดูการแสดงรอบล่าสุดหรือยัง)
B: Yes, I have. It’s hilarious and fun.
(ดูแล้ว ตลกมาก ๆเลยแถมยังสนุกด้วย)

 

    จำไว้นะคะ Fun เฉย ๆ แปลว่า สนุก ถ้าเป็น Funny ก็จะแปลว่า ตลก นะคะ อย่าจำสลับกันอีกนะคะ มาต่อกันที่ข้อผิดพลาดข้อต่อไปกันค่ะ

 

I no like it. - ฉันไม่ชอบมัน

    ฉันไม่ชอบ ในภาษาอังกฤษไม่ได้พูดด้วยคำว่า no like นะคะ แต่เป็น Do not like หรือ don’t like น้า โครงสร้างประโยคนี้ใช้พูดได้หลายอย่างเลยค่ะ don’t like แล้วตามด้วยคำนาม เพื่อบอกว่าสิ่งที่ไม่ชอบคืออะไร

 

I don’t like ____.
/ไอ-ดอนท-ไลค์ _____/
ฉันไม่ชอบ____

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: I don’t like spaghetti.
(ฉันไม่ชอบกินสปาเก็ตตี้)
B: Me neither.
(ฉันก็ด้วย)

 

    และก็มีอีกประโยคนึงที่ครูชอบพูดบ่อย โพสต์ที่แล้วครูก็สอนพูดไป โพสต์นี้ก็พูดอีกเป็นการทบทวนกันค่ะ

I’m not a fan of ____.
/ไทม-นอท-เออะ-แฟน-เนิฟ _____/
ฉันไม่ค่อยชอบ____เท่าไหร่

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Do you have dogs? I have one and he is so cute and smart.
(เธอเลี้ยงหมาไหม ฉันเลี้ยงตัวนึงและมันทั้งน่ารักและฉลาดมาก ๆ)
B: No, I don't. I’m not a fan of dogs.
(ไม่ได้เลี้ยงอะ พอดีฉันไม่ชอบหมาสักเท่าไหร่)

 

    สรุปถ้าเราจะบอกว่าไม่ชอบเป็นภาษาอังกฤษให้พูดว่า don’t like + คำนาม หรือ I’m not a fan of + คำนาม นะคะ มาดูข้อผิดพลาดต่อไปกันเลย

 

You angry me? - คุณโกรธฉันเหรอ

    สำหรับใครที่อยากถามภาษาอังกฤษว่า คุณโกรธฉันเหรอ ประโยคนี้ไม่ได้พูดว่า You angry me นะคะ เพราะ Angry เป็น adjective ไม่ใช่คำกริยาและโครงสร้างประโยคยังขาด V.to be ไปด้วยค่ะ ทำให้บอกสถานะของประธานไม่ครบ ดังนั้นถ้าเราจะถามว่าคุณโกรธฉันเหรอให้ใช้ประโยคนี้ค่ะ

 

Are you angry with me?

/อาร์-ยู-แองกรี-วิธ-มี/

คุณโกรธฉันเหรอ

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: You haven’t spoken to me all day. Are you angry with me?
(คุณไม่คุยกับฉันทั้งวันเลยอะ โกรธฉันอยู่หรือไง)
B: Of course you still owe me an apology.
(ก็แหงล่ะ คุณยังไม่ได้ขอโทษฉันเลย)

 

    แถมยังมีอีกประโยคที่สามารถใช้ถามว่าโกรธได้ด้วยค่ะ คำว่า Mad แปลว่า รู้สึกไม่ดี งอน โกรธ แปลได้หลายอย่างเลยค่ะ เวลาเพื่อนไม่คุยกับเราด้วยเพราะไม่พอใจอะไรก็ถามด้วยประโยคนี้ได้เลยค่ะ

 

Are you mad at me?

/อาร์-ยู-แมด-เอิท-มี/

คุณโกรธฉันเหรอ / คุณงอนฉันเหรอ

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Are you mad at me?
(คุณงอนฉันเหรอ)
B: I don’t know, but seeing you with that girl isn’t making me happy.
(ฉันไม่รู้อะ แต่ที่รู้ ๆคือเห็นคุณอยู่กับผู้หญิงคนนั้นแล้วไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีเลย)

 

    ดังนั้นเวลาอยากถามว่าโกรธเหรอหรืองอนเหรอในภาษาอังกฤษให้ถามด้วย Are you angry with me? หรือ Are you mad at me? ได้เลยนะคะ และข้อผิดพลาดสุดท้ายค่ะเป็นประโยคที่ใช้ผิดกันบ่อยที่สุดเลยค่ะ แถมเป็นประโยคที่พูดกันบ่อยด้วย

 

Are you understand? - คุณเข้าใจไหม

 

    ประโยคนี้คือได้ยินกันบ่อยมากค่ะ ทุกคนได้รับการสอนกันมาตั้งแต่เด็ก ๆแต่ก็ยังมีคนพูดผิดกันบ้าง อยากถามเป็นภาษาอังกฤษว่า เข้าใจไหม ให้ใช้ Do you understand? ค่ะ เพราะ understand ในประโยคเป็นคำกริยาไม่ใช่คำนามหรือ adjective ที่ต้องขึ้นต้นด้วย V. to be ค่ะ แต่ต้องขั้นต้นด้วย Do ดังนั้นเวลาพูดให้ใช้ประโยคนี้นะ

 

Do you understand?
/ดู-ยู-อันเดอสแตน/
คุณเข้าใจไหม

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Do you understand?
(คุณเข้าใจไหม)
B: Yes, I do.
(เข้าใจแล้ว)

 

    ครูดิวแถมให้อีก 2 ประโยคค่ะที่สามารถใช้ถามว่าคุณเข้าใจฉันไหมให้ใช้ 2 ประโยคนี้พูดได้เช่นกันค่ะ

 

Do you get it?

/ดู-ยู-อันเดอสแตน/
คุณเกทที่ฉันพูดไหม / คุณเข้าใจฉันไหม

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: This makes me mad. Do you get it?
(เรื่องนี้ทำให้ฉันโกรธ เข้าใจไหม)
B: Okay I get you. I won’t do this again.
(โอเคฉันเข้าใจแล้ว จะไม่ทำอีกแล้ว)

 

Are you with me?

/ดู-ยู-อันเดอสแตน/
คุณเข้าใจฉันไหม / เข้าใจที่ฉันพูดไหม

 

ตัวอย่างบทสนทนา
A: Alright we have to plan this more carefully. Are you with me?
(เอาล่ะ เราต้องวางแผนเรื่องนี้ให้รอบคอบนะ เข้าใจไหม)
B: Yes, I am. Let’s get this over with.
(เข้าใจแล้ว มาทำให้เสร็จ ๆไปดีกว่า)

 

    และก็หมดแล้วค่ะสำหรับ 11 ประโยคภาษาอังกฤษที่คนมักใช้ผิดกัน แต่จริง ๆแล้วพูดง่ายกว่าที่ค่ะ ไม่มีใครว่าหรอกค่ะที่เราใช้ผิดเพราะบางทีเราเองก็เพิ่งเรียนรู้ใหม่ ถ้าเราพูดผิดแต่ยังสื่อสารเข้าใจได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปเกือบครึ่งแล้วค่ะ แต่ถ้าจะทำให้ดีถึงเราจะผิดบ้างแต่เราก็เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดโดยไม่ต้องอาย ครูก็มองว่าเรากำลังพัฒนาตัวเองเช่นกันค่ะ ประโยคที่ครูยกมาครูก็อยากให้นักเรียนนำไปฝึกพูดจนติดปากเลยค่ะ

    สำหรับใครที่กำลังมองหาคอร์สเรียนสอนภาษาอังกฤษแบบง่าย ๆ ราคาไม่แพง เรียนที่ไหนก็ได้ พร้อมกับความสนุกไม่น่าเบื่อ ครูขอแนะนำหนังสือ 4 Skills New Normal มาพร้อมกับคอร์สเรียนกว่า 10 ชม. ให้เราได้ฝึกเรียนภาษาอังกฤษครบ 4 ทักษะทั้ง ฟัง พูด อ่าน เขียน ไม่ว่าจะเป็นฝึกฟังประโยคภาษาอังกฤษเพื่อจับใจความ ฝึกพูดตอบโต้หรือยิงคำถามเป็นภาษาอังกฤษ อ่านบทความเรื่องราวที่น่าสนใจเป็นภาษาอังกฤษพร้อมฝึกแปลและทำโจทย์จนเหมือนข้อสอบพาร์ท Reading ของข้อสอบโทอิค หรือแม้แต่สอนการเขียนในเรื่องของการเรียงประโยคให้ถูกต้องตามหลักไวยกรณ์ภาษาอังกฤษทุกอย่างรวมไว้ให้หมดครบจบในเล่มเดียว พร้อมแผนการเรียนแบบมีเรื่องราวและเกมส์ภาษาอังกฤษให้เล่นเสริมความสนุกไปพร้อมกับการเรียนรู้ด้วย นอกจากนี้ฟีเจอร์ที่เด็ดที่สุดของคอร์สนี้คือเรามี AI จับเสียงพูดภาษาอังกฤษของเราเอาไว้พูดตอบโต้กับเสียงฝรั่งได้จนเหมือนได้ฝึกคุยภาษาอังกฤษจริง ๆ หมดห่วงเรื่องไม่มีคนช่วยฝึกพูดได้เลย

 

พูดภาษาอังกฤษไม่มีผิด อัปสกิลการพูดด้วย 4 Skills New Normal

สั่งซื้อหนังสือ 4 Skill New Normal พร้อมคอร์สเรียน คลิกเลย!

 

ดูคลิปครูดิวสอน 11 ประโยคโครตง่ายแต่คนมักใช้ผิดพร้อมตัวอย่างจากหนัง

 

แต่ถ้าอยากติวคอร์ส KruDew ติว TOEIC® มีให้ครบทุกอย่าง! 

ติว TOEIC ครูดิว พร้อมลองทำข้อสอบเหมือนจริง

ติว TOEIC กับครูดิว ดียังไง?

  • คอร์สติว TOEIC ของครูดิวนั้น เรียน Online
  • แบ่งบทเรียนชัดเจน เรียนง่ายไม่งง คลิ๊กเลือกบทเรียนที่ต้องการได้ทันที
  • สามารถหยุด, เล่นซ้ำบทเรียนที่ต้องการได้แบบไม่อั้น! (ตลอดระยะเวลาคอร์ส)
  • อัพเดทข้อสอบ New TOEIC ใหม่ล่าสุด! ครบชุด!
  • มีไฟล์ E-Book (PDF) ประกอบการเรียนให้ดาวน์โหลด (และมีหนังสือเรียนเป็นเล่มส่งให้ถึงบ้าน)
  • เรียนเวลาไหนก็ได้ อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ แค่มี Internet

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับบทเรียน สามารถส่งคำถามหาทีมงานได้

การันตีคะแนน 750+ (หากสอบแล้วไม่ถึง สามารถแจ้งทวนคอร์สได้ฟรี!)

 

ถ้ายังไม่แน่ใจ? ทดลองติวฟรีก่อนได้ที่ >>> คอร์ส KruDew TOEIC®

 

TOEIC® and TOEFL® are registered trademarks of Educational Testing Service (ETS). This product is not endorsed or approved by ETS.