หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินเรื่องการสอบ SAT ซึ่งถูกพูดถึงบ่อยในหนังวัยรุ่นอเมริกัน วันนี้จะมาอธิบายให้ทุกคนเข้าใจเกี่ยวกับ SAT ไม่ว่าจะเป็น SAT คืออะไร? ข้อสอบ SAT เป็นยังไง? สอบ SAT ที่ไหน? โดยบทความนี้มีตัวอย่างข้อสอบ SAT และวิธีเตรียมตัวสอบ SAT มาแนะนำให้ทุกคน รับรองว่าเนื้อหาครบจบในที่เดียวแน่นอน
SAT Digital Test คืออะไร?
คือ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสอบ SAT จะเป็นการสอบแบบ Digital ที่ไม่ต้องสอบแบบ Paper - Based แบบเมื่อก่อนแล้ว
โดยที่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสอบ SAT ใหม่นี้จะเริ่มต้นในปี 2023 สำหรับผู้สอบนานาชาติ (ภายนอกอเมริกา) และปี 2024 สำหรับผู้สอบในอเมริกา
ดังนั้น #DEK65 หรือ #DEK66 ที่จะสอบ SAT ในปีนี้ยังคงสอบรูปแบบเดิม
4 ข้อที่เหมือนเดิม
- ใช้คะแนนเพื่อยื่นเข้ามหาลัยในคณะอินเตอร์ตามเกณฑ์ของแต่ละมหาลัยได้เหมือนเดิม
- เนื้อหาข้อสอบเหมือนเดิม ทั้ง SAT MATH และ SAT VERBAL
- วิธีการคิดคะแนน และการ Report Score เหมือนเดิม
- มีคนคุมสอบป้องกันการทุจริตเหมือนเดิม
3 ข้อที่แตกต่าง
- ที่นั่งสอบจะไม่เหมือนเดิม มี Partition กั้น
- สอบผ่านอุปกรณ์ที่ทางศูนย์สอบเตรียมให้เท่านั้น
- ทุกการสอบทุกอย่างจะจบที่คอมพิวเตอร์ ทั้งคำถามและคำตอบ
ทั้งนี้ยังต้องรออัพเดตข้อมูล เรื่อง ราคาสอบ หรือจะสอบที่ไหนได้บ้าง จากทาง College Board กันที
ถ้าน้อง ๆ คนไหนอยากลองดูรูปแบบการสอบ SAT Digital Test คลิกเลย Practice – Digital Testing – The College Board
การสอบ SAT คืออะไร
การสอบ SAT คือ การสอบประเภทหนึ่ง โดยคำว่า SAT ย่อมาจาก Scholastic Aptitude Test หรือ The Scholastic Assessment Test โดยการสอบ SAT นี้เป็นข้อสอบที่ใช้ในการประกอบการสมัครเข้าเรียนในระดับชั้นปริญญาตรี จัดทำโดย College Board เรียกได้ว่าข้อสอบ SAT คือ ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยในระดับมาตรฐานสากลและนิยมใช้กันทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกาและมหาวิทยาลัยที่มีการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรนานาชาติ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
ข้อสอบ SAT ที่ทดสอบความถนัดทางวิชาคณิตศาสตร์ (SAT Math) และภาษาอังกฤษ (SAT Verbal) โดยทั้ง 2 วิชาคะแนนรวมกันเต็ม 1600 คะแนน โดย SAT Math เป็นการทดสอบวัดระดับทางคณิตศาสตร์ (Mathematics) และ SAT Verbal เป็นการทดสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษในการอ่าน และการวิเคราะห์ อีกทั้งยังทดสอบความสามารถทางไวยากรณ์ (Grammar)
ข้อสอบ SAT Verbal
ข้อสอบ SAT Verbal Reading
- วัดความเข้าใจเนื้อหา และการเชื่อมโยงข้อมูลในบทความ
- การหาใจความหลัก (Main Idea) หรือ ภาพรวมของบทความ โจทย์มักจะถามว่าบทความกำลังพูดถึงอะไร หรือทำสิ่งเหล่านั้นไปเพื่ออะไร
- คำถามที่เกี่ยวกับคำศัพท์ในข้อสอบ SAT Verbal เราจะต้องวิเคราะห์ว่าในบริบทที่โจทย์กำหนดมาให้ คำศัพท์ควรจะมีความหมายอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุด
- คำถามที่ถามเกี่ยวกับมุมมองของผู้เขียน (Author's Aspects) คำถามประเภทนี้จะถามหา เทคนิค และวิธีการเล่าเรื่องของผู้เขียน ไม่ว่าจะเป็น ทัศนคติ (Attitude) หรือ โทนเสียง (Voice/ Tone)
- คำถามที่กำหนดให้เราหาหลักฐานว่าทำไมตอบแบบนั้นซึ่งคำถามประเภทนี้มักจะมาเป็นคู่ (Paired Passages)
- คำถามที่ต้องการให้เราระบุว่าได้คำตอบมากจากบรรทัดไหน
- คำถามการวิเคราะห์กราฟ ตาราง หรือ ชาร์ต
ข้อสอบ SAT Verbal Writing
- ทดสอบความเข้าใจเกี่ยวกับ โครงสร้างประโยค (Sentence Structure)
- เครื่องหมายวรรคตอน (Punctuation) คำศัพท์ (Vocabulaly)
- การจัดเรียงเนื้อหา โดยโจทย์อาจจะกำหนดให้เราย้ายประโยคเพื่อทำให้บทความมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
- การใช้ข้อมูลจากกราฟ หรือตารางที่มาพร้อมกับบทความ เราจะต้องวิเคราะห์ว่าข้อมูลจากกราฟ หรือตารางสามารถช่วยซับพอร์ตใจความได้หรือไม่
ข้อสอบ SAT Math
สำหรับข้อสอบ SAT Math นั้น มีเนื้อหาเทียบเท่าคณิตศาสตร์ ม.ต้น และ มีเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.ปลาย (หลักสูตรไทย) เล็กน้อย ซึ่งถือว่าง่ายพอสมควร เพราะวัดเพียงแค่ 4 ทักษะเพียงเท่านั้น คือ Heart of Algebra, Problem Solving and Data Analysis, Passport to Advanced Math และ Additional Topics
ในแต่ละพาร์ท รูปแบบข้อสอบ (Test Format) จะมีหลากหลาย แตกต่างกันด้วย ดังนั้นก่อนที่จะไปสอบ ต้องรู้จักรูปแบบข้อสอบกันก่อนว่า SAT Math ยากไหม? เข้าห้องสอบไปแล้ว จะเจอข้อสอบหน้าตาแบบไหน? โจทย์จะให้เราทำอะไรบ้าง?
ข้อสอบ SAT Math นั้นจะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
- ข้อสอบ SAT Math แบบที่ให้ใช้เครื่องคิดเลข (Calculator) จำนวน 38 ข้อ ใช้เวลา 55 นาที
- ข้อสอบ SAT Math แบบที่ไม่ให้ใช้เครื่องคิดเลข (No Calculator) จำนวน 20 ข้อ ใช้เวลา 25 นาที
1. Heart of Algebra – หัวข้อนี้ ข้อสอบ SAT Math ออกเยอะสุด ประมาณ 33% ของข้อสอบทั้งหมด (ออกสอบทั้งพาร์ท Calculator และ No Calculator) ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
- การแก้สมการเส้นตรง 1 ตัวแปร
- ระบบสมการเส้นตรง 2 ตัวแปร
- อสมการเส้นตรง
- การตีความค่าคงที่ในสมการ / อสมการแก้โจทย์ปัญหาการวาดกราฟเส้นตรง
- ระบบสมการ + อสมการทุกสิ่งอย่างที่เป็นเส้นตรง
2. Problem Solving and Data Analysis – หัวข้อนี้ ข้อสอบ SAT Math ออกคิดเป็น 29% ของข้อสอบทั้งหมด (ออกสอบเฉพาะพาร์ท Calculator อย่างเดียว) เนื้อหาจะเป็นดังนี้
- อัตราส่วน เปอร์เซ็นต์
- ตารางข้อมูล พร้อมให้กราฟแบบ Scatter Plot มา แล้วให้ตีความจากกราฟส่วนมากจะไม่ได้คำนวณเยอะมาก เน้นการตีความจากสิ่งที่โจทย์ให้มา
- ความน่าจะเป็น (พื้นฐาน+ใช้ในชีวิตจริง)
- สถิติพื้นฐาน
- การหาค่ากลางต่างๆ
- แผนภาพกราฟ
- แผนภาพกล่อง
- ค่าช่วงความเชื่อมั่น
- การวิเคราะห์ข้อมูล เปรียบเทียบการกระจายของข้อมูล
3. Passport to Advanced Math – ข้อสอบ SAT Math หัวข้อนี้ ออกคิดเป็น 28% เนื้อหาจะเป็นสมการพหุนามดังนี้ (ออกสอบพาร์ท Calculator และ No Calculator)
- สมการกำลังสอง สมการกำลังสาม
- กราฟพาราโบลา
- เลขยกกำลัง
- โจทย์ปัญหาสมการพหุนาม
- การตีความค่าคงที่ในสมการ
- แก้สมการติดรูท ติดเลขยกกำลัง ติดเศษส่วน, พหุนาม, กราฟ, ฟังก์ชันต่างๆ
4. Addition Topics in Math – หัวข้อนี้พบในข้อสอบ SAT Math ประมาณ 10% (ออกสอบพาร์ท Calculator และ No Calculator) เนื้อหาจะเป็นดังนี้.
- เรขาคณิตทั้งหมด
- หามุมเส้นรูปเหลี่ยมทั้งหมด
- หาพื้นที่
- สามเหลี่ยมคล้าย
- วงกลม
- ตรีโกณมิติ
- ปริมาตรของรูปทรงต่าง ๆ
- พื้นฐานของจำนวนเชิงซ้อน
ตัวอย่างข้อสอบ SAT Math
เทคนิคทำข้อสอบ SAT Math
1. เรียนรู้คำศัพท์ SAT เฉพาะที่ต้องเจอในข้อสอบ SAT Math
เนื่องจากข้อสอบเป็นภาษาอังกฤษ เราต้องเจอคำศัพท์ทางคณิตศาสตร์ที่ไม่เคยพบมาก่อน อย่างเช่นคำว่า Vertex ซึ่งแปลว่า จุดยอด เป็นต้น ดังนั้นในส่วนนี้เราต้องเตรียมตัวคำศัพท์เนื้อหา SAT Math ล่วงหน้าให้ดี
2. ทำโจทย์ข้อสอบ SAT Math ให้มาก
การทำโจทย์ข้อสอบ SAT Math จะช่วยให้เราคุ้นเคยกับข้อสอบ มีกลยุทธ์แนะนำดังนี้
2.1 เริ่มต้นทำโจทย์ข้อสอบ SAT Math โดยไม่จับเวลาก่อน เพื่อให้เราคุ้นเคยว่าแนวทางของข้อสอบ เป็นแบบไหนบ้าง ในขณะเดียวกันจะได้ไม่กดดัน ตัวเองเกินไปหรือรู้สึกท้อ โดยเฉพาะถ้าทำข้อสอบไม่ได้
2.2 เมื่อรู้สึกว่าคุ้นเคยและเข้าใจเนื้อหา SAT Math รวมถึงแนวทางข้อสอบในระดับหนึ่งแล้ว เราค่อยลอง ทำข้อสอบ SAT Math แบบจับเวลา ให้เหมือน ว่าอยู่ในห้องสอบอีกครั้ง
2.3 หลังจากจับเวลาทำข้อสอบ SAT Math จนชำนาญแล้ว ลองทำข้อสอบ SAT แบบจับเวลาทั้ง SAT Math และ SAT Verbal พร้อมกัน
เมื่ออยู่ในห้องสอบ SAT
3. ทำข้อสอบอย่างมีสมาธิ
ตอนทำข้อสอบอยากให้ทุกคนเริ่มต้นอย่างมีสมาธิ ข้อสอบ SAT Math ให้เวลาจำกัดมากๆ เราจึงต้องใช้สมาธิอย่างมากในการทำข้อสอบให้เร็วและแม่นยำ เวลาที่เจอข้อสอบยาก ๆ หรืออ่านแล้วไม่เข้าใจ อย่าเพิ่งร้อนรน ตั้งสติแล้วข้ามไปทำข้อง่ายก่อน คนที่ได้คะแนน SAT สูง มักจะทำข้อง่ายให้เสร็จก่อนแล้วเหลือเวลามาทำข้อยากทีหลัง
4. รอบคอบ
ข้อสอบ SAT MATH บางส่วนเป็นแบบ Multiples Choice เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังให้ดีในเรื่องความผิดพลาดแบบประมาท เช่น ฝนคำตอบผิดข้อ ฝนผิดช่อง ฝนผิดกฎ ลืมทำข้อสอบ ลืมเขียนชื่อ ลืมฝนข้อมูลส่วนตัว เป็นต้น
หนังสือ SAT อันดับ 1:
College Board Official SAT Study Guide 2020 Edition
The College Board Official SAT Study Guide เป็นหนังสือ SAT เล่มฟ้าในตำนาน ที่หลายๆ คนต้องรู้จัก เล่มนี้ประกอบด้วยแบบทดสอบเสมือนจริง 8 ชุด และแบบฝึกหัดย่อยอีกหลายสิบบท เพื่อช่วยให้นักเรียนเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบ SAT
ผู้ผลิต: The College Board
ปี: 2019
จำนวนหน้า: 1,300
คะแนนรีวิว: A+
หนังสือประกอบไปด้วย:
- ข้อสอบเสมือนจริง 8 ชุด
- การอธิบายโดยละเอียดในแต่ละเนื้อหา
- ตัวอย่างโจทย์ในแต่ละหัวข้อ
ข้อดี:
- เป็นหนังสือที่ออกโดย The College Board ซึ่งเป็นองค์กรที่ออกแบบข้อสอบ จัดสอบ และตรวจข้อสอบ SAT ตัวจริง ซึ่งเป็นที่มาว่าทำไมเล่มนี้ถึงได้ชื่อว่าเป็น The Official Guide ของ SAT ยังไงล่ะ
- หนังสือเล่มนี้จะมีราคาไม่แพงพอเอื้อมถึงได้ แถมยังเป็นเป็นคู่มือการสอบที่อ่านง่ายและครอบคลุมทุกแง่มุมของการสอบ SAT เลยล่ะ
- มีข้อสอบให้ฝึกทำแบบแน่นๆ ถึง 8 ชุดด้วยกัน และยังมีการอธิบายเนื้อหาอย่างละเอียดอีกด้วย
ข้อเสีย:
- ข้อมูลและแบบฝึกหัดทั้งหมดที่รวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้ มีแจกฟรีบนเว็บไซต์ของ College Board และ ในอินเตอร์เน็ตทั้งหมดเลย รวมถึงข้อสอบทั้ง 8 ชุดนั้นด้วย นอกจากนี้ใน Youtube และสถาบันต่างๆ มีการทำคลิปสอนการทำข้อสอบต่างๆ และ แชร์โจทย์เล่มนี้เยอะมากๆเช่นกัน ดังนั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องซื้อ เว้นแต่ว่าน้องๆ อยากเอาข้อสอบนี้มาฝึกทำบนกระดาษก็ซื้อเถอะเนอะจะสะดวกและง่ายกว่าการปริ้นออกมาทำเยอะเลยจ้า
- เนื้อหาหนังสือโหลดฟรีที่ลิ้งค์นี้เลย https://collegereadiness.collegeboard.org/sat/inside-the-test/study-guide-students
- อ่านเนื้อหาแล้วมาฝึกทำโจทย์ข้อสอบทั้ง 8 ชุด ได้ที่นี่ มีครบทั้งตัวข้อสอบ กระดาษคำตอบและเฉลยเลยน้า
https://collegereadiness.collegeboard.org/sat/practice/full-length-practice-tests
- เนื้อหาหนังสือโหลดฟรีที่ลิ้งค์นี้เลย https://collegereadiness.collegeboard.org/sat/inside-the-test/study-guide-students
- หนังสือเล่มนี้ไม่ได้อัพเดตเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับแบรนด์หนังสือสอบเจ้าอื่นๆ เนื่องจากเป็นหนังสือที่พิมพ์ตั้งแต่ปี 2019 แล้ว
- ถึงแม้เล่มนี้จะเฉลยโจทย์ละเอียดก็จริง แต่หลายๆ คนบอกว่า อ่านเฉลยแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ค่อยเคลียร์สักเท่าไร ยังไงถ้าน้องๆ คนไหนเจอปัญหาอ่านเฉลยแล้วยังไม่เคลียร์ก็ลองเข้าไปดูคำอธิบาย นั่งเรียนได้บนยูทูปนะ ลองเอาชื่อโจทย์ หรือ ชื่อหนังสือไปเสิร์ชได้เลยจ้า บอกได้เลยว่า ถึงจะมีข้อเสีย แต่ข้อดีมีเยอะกว่าน้า
หนังสือ SAT อันดับ 2:
The Princeton Review SAT Premium Prep, 2022
The Princeton Review’s SAT Premium Prep (2022) เป็นหนึ่งในหนังสือที่ครอบคลุมมากที่สุดสำหรับ SAT โดยเล่มนี้เป็นเล่มออกใหม่ที่สุดของซีรีย์หนังสือเตรียมสอบ SAT จาก Princeton และประกอบด้วยตัวอย่าง คำอธิบาย และเคล็ดลับในการทำข้อสอบเกือบ 500 หน้า
ผู้ผลิต: Princeton Review
ปี: 2021
จำนวนหน้า: 832 หน้า
คะแนนรีวิว: A
หนังสือประกอบไปด้วย:
- การอธิบายการสอบ SAT, การคิดคะแนน และการให้ค่าน้ำหนักของเนื้อหาแต่ละส่วน
- ข้อสอบเสมือนจริง 4 ชุดในหนังสือ และ อีก 5 ชุดออนไลน์
- แนะนำเทคนิคในการทำข้อสอบ SAT
- มีคลิปสอน SAT สั้นๆ ให้ด้วย
ข้อดี:
- เนื้อหาดี อ่านเข้าใจง่าย แต่ก็มีเนื้อหาที่ครบถ้วน เหมาะกับน้องๆ ที่มีเวลาเตรียมตัวน้อย อยากได้ผลเร็ว
- โจทย์ค่อนข้างตรงกับข้อสอบจริง เฉลยอ่านเข้าใจง่าย เข้าใจด้วย เหมาะมากๆ กับคนที่ใหม่กับการสอบ SAT
- มีสรุปพวกสูตรลัดให้ด้วยซึ่งเข้าใจง่ายมากๆ และใช้ได้จริงกับโจทย์ที่เจอในข้อสอบส่วนใหญ่เลยทีเดียว บอกเลยว่าน้องๆที่ ภาษาอังกฤษจะไม่ค่อยแข็งแรงจะเลิฟมากๆ แน่จ้า
- เป็นหนังสือที่มีการอัปเดตให้เหมาะกับการสอบ SAT ปีล่าสุดมากที่สุดเล่มหนึ่ง เนื่องจากมีเนื้อหาและแบบฝึกหัดให้ศึกษาเพิ่มเติมได้บนเว็บไซต์ของ Princeton Review
ข้อเสีย:
- เล่มนี้มีราคาค่อนข้างสูง ข้อสอบต่างกันก็จริง แต่เนื้อหาและทริคไม่ค่อยต่างจากปีที่แล้วมาก เพราะฉะนั้นใครมีรุ่นนี้ของปีก่อนๆ ไม่ต้องซื้อเล่มปี 2022 เพิ่มก้ได้จ้า
- เนื่องจากว่าเล่มนี้เค้าย่อยมาให้เราเยอะแล้วจริงๆ ก็เลยมีทริคลัดๆ เยอะมาก แต่บางทีก็ลัดเกินไปนิดนึง ใครที่อยากได้คะแนนเยอะๆ เก็บ Reading เป๊ะๆ หน่อย ก็ต้องระวังจะข้ามจุดสำคัญๆที่ไว้ตอบคำถามด้วยนะ
- โจทย์ของเล่มนี้จะง่ายกว่าข้อสอบจริงนิดนึง ซึ่งมองในแง่ดีก็เหมาะกับน้องๆ ที่เพิ่งเตรียมตัว SAT เป็นด่านแรกสำหรับการฝึกโจทย์ก็ไม่เลวเลยนะ จะได้มีกำลังใจลุยต่อด้วยจ้า
- การอ่าน SAT จากเล่มนี้จำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตควบคู่ไปด้วย เนื่องจากเนื้อหาบางส่วนสามารถเข้าถึงได้เฉพาะช่องทางออนไลน์
หนังสือ SAT อันดับ 3:
Barron’s SAT Study Guide Premium 2021-2022
Barron’s SAT Study Guide Premium 2021-2022 เป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนในการทำข้อสอบของตนเองทั้งพาร์ท Math และพาร์ท Verbal ที่เจ๋งก็คือเล่มนี้อัพเดตสุดๆ ข้อสอบในเล่มนี้สะท้อนการสอบของปี 2021 ด้วยนะ
ผู้ผลิต: Barron’s Educational Series
ปี: 2021
จำนวนหน้า: 1,056 หน้า
คะแนนรีวิว: B
หนังสือประกอบไปด้วย:
- ข้อสอบเสมือนจริง 7 ชุด พร้อมคำอธิบายคำตอบโดยละเอียด
- ข้อสอบเสมือนจริง 2 ชุด ในออนไลน์พร้อมจำลองการสอบเสมือนจริง
- ทบทวนเนื้อหาที่จะออกสอบ SAT ในแต่ละหัวข้อ
ข้อดี:
- ในหนังสือเล่มนี้มีทวนความรู้ที่จะออกสอบ SAT ให้ด้วย
- ข้อสอบ SAT เล่มนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนในการทำข้อสอบของตนเอง รวมถึงแนวทางการแก้ไขข้อบกพร่องอย่างมีประสิทธิภาพ
- โจทย์ในส่วนของ Reading และ Writing จะมีความยากกว่าโจทย์เล่มอื่นๆ เหมาะกับคนที่อยากจะฝึกโจทย์ที่ท้าท้ายขึ้นมาหน่อย
- ข้อสอบออนไลน์ค่อนข้างเจ๋ง มีจับเวลาให้ด้วย เหมือนการสอบ Mock Test SAT เลยก็ว่าได้ ทำเสร็จแล้วมีคิดคะแนนให้อัตโนมัติเลย ถึงแม้จะมีจำนวนแค่ 2 ชุดแต่ก็ ยังมีโจทย์ในเล่มอีกตั้ง 7 Test ถือว่าคุ้มมากๆเลยล่ะ
ข้อเสีย:
- ในส่วนของความละเอียดของเนื้อหา การสอน การเฉลย หรือ อธิบายต่างๆ ยังสู้ของ Princeton กับ Kaplan ไม่ได้ เล่มนี้เหมาะกับเป็นเล่มไว้อ่านชิลๆ ขำๆ หรือไว้ฝึกโจทย์ตอนที่ทำโจทย์เล่มอื่นๆ หมดแล้วมากกว่า
หนังสือ SAT อันดับ 4:
Kaplan SAT Prep Plus 2022
Kaplan SAT Prep Plus (2022) เป็นหนึ่งในหนังสือคู่มือการสอบ SAT ที่มีเนื้อหาที่ครอบคลุมมากที่สุด และมีการอธิบายแต่ละส่วนของการสอบอย่างละเอียด
ผู้ผลิต: Kaplan Publishing
ปี: 2021
จำนวนหน้า: 972 หน้า
คะแนนรีวิว: B+
หนังสือประกอบไปด้วย:
- ข้อสอบเสมือนจริง 2 ชุดในหนังสือ และ 3 ชุดออนไลน์
- แบบฝึกหัดแต่บทมากกว่า 1,400 ข้อ
- คู่มือวางแผนการเรียนออนไลน์
- รวมเทคนิคพิเศษในการสอบ SAT
ข้อดี:
- เป็นหนังสือเตรียมสอบ SAT ที่อธิบายและแนะนำแนวทางการทำข้อสอบ SAT โดยเฉพาะพาร์ทคณิตศาสตร์ได้ดีที่สุดเล่มหนึ่ง เนื่องจากมีตัวอย่าง กลยุทธ์และเทคนิคในการทำโจทย์ที่เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการการอธิบายอย่างละเอียด
- เล่มนี้ให้ฟีเจอร์พิเศษอย่างคู่มือวางแผนการเตรียมสอบ SAT และ พวกเทคนิคในการทำข้อสอบ
ข้อเสีย:
- เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ส่วนใหญ่ในหนังสือเน้นไปที่พาร์ท Math มากกว่าพาร์ท Reading & Writing ด้วยล่ะ
- ข้อสอบเล่มนี้ง่ายกว่าหนังสือ SAT แบรนด์อื่นๆ เป็นอีกเล่มที่เหมาะกับ Beginner
- ให้โจทย์ที่เป็นข้อสอบ Full Test น้อยกว่าเจ้าอื่นๆ ถ้าอยากฝึกโจทย์เพิ่มจะต้องซื้อหนังสือโจทย์แยกอีกเล่ม
หนังสือ SAT อันดับ 5:
The Princeton Review 10 Practice Tests for the SAT 2022 Edition
เล่มนี้เป็นหนังสือโจทย์ SAT ที่ฮิตเล่มนึงเลยก็ว่าได้ สำหรับ Princeton Review 10 Practice Tests for the SAT ตอนนี้อัพเดตใหม่สุดๆ เพิ่งวางขายไม่นานเลย เนื่องจากเป็นเล่มที่เป็น 2022 Edition ข้อสอบต่างๆ ก็จะอัพเดตมากขึ้นด้วย เหมาะมากๆ กับน้องๆ ที่อ่าน เรียน ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ SAT แล้วอยากได้หนังสือไว้ฝึกทำโจทย์ข้อสอบ SAT เพิ่มเพื่อความเป๊ะ คะแนนปัง บอกได้เลยว่าถ้าน้องๆ คนไหนอยากได้คะแนน SAT สูงๆ ไว้ยื่นมหาลัยในฝันล่ะก็ เล่มนี้ถือว่าเป็นหนังสือโจทย์ที่ควรซื้อ ควรทำสักเล่มก่อนลงสนามสอบจริง!
ผู้ผลิต: Princeton Review
ปี: 2021
จำนวนหน้า: 994
คะแนนรีวิว: B-
หนังสือประกอบไปด้วย:
- ข้อสอบเสมือนจริง 10 ชุด พร้อมคำอธิบายคำตอบโดยละเอียด
- แบบฝึกหัดแต่ละบทรวมกว่า 1,500 ข้อ
ข้อดี:
- เป็นหนังสือที่เน้นไว้สำหรับฝึกโจทย์ โดยให้โจทย์เยอะจุกๆ ในราคาไม่แพง ถือว่าเหมาะมากๆ สำหรับฝึกโจทย์ก่อนลงสนามสอบจริง
- โจทย์มีทั้งง่ายสลับยาก ซึ่งก็เป็นโจทย์ที่อาจจะเจอได้ในห้องสอบทั้งนั้นเลย คนที่ฝึกเล่มนี้ก็จะได้เจอแนวข้อสอบรูปแบบใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ถือว่าเป็นเรื่องดีเลยทีเดียวเพราะว่าจะช่วยน้องๆ ให้เตรียมตัวให้พร้อมการสอบที่จะเจอได้ดีขึ้น
- เล่มนี้ได้เป็นเล่มที่ยอมรับจากหลายๆ สถาบัน ว่าเป็นเล่มที่โจทย์มีความคล้ายและตรงกับข้อสอบจริงมากที่สุด เมื่อเทียบกับหนังสือโจทย์ SAT จากแบรนด์อื่นๆ
ข้อเสีย:
- การเฉลยโจทย์ละเอียดพอประมาน ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกเมื่อเทียบกับบางแบรนด์ และ ไม่มีการอธิบายเทคนิค การสอนอื่นๆ เพิ่มเติม เหมือนหนังสือตัวที่เป็น Exam Prep
- ไม่เหมาะกับการเป็นเล่มแรกของการอ่าน SAT แนะนำว่าควรทำความรู้จักการสอบ SAT จากเล่มอื่นๆ เรียนรู้เทคนิคการทำข้อสอบ หรือ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการสอบก่อน แล้วค่อยมาอ่านเล่มนี้ บอกเลยว่าเล่มนี้ถึงจะดีมากๆ ก็ตาม แต่ก็ควรไว้อ่านเป็นเล่มท้ายๆ ก่อนลงสนามสอบจริง ไม่งั้นอาจจะทำให้น้องๆ ท้อได้นะ
อย่างไรก็ตาม รีวิวนี้เป็นความเห็นของพี่ๆ ทีมงานนะ หนังสือ SAT ทุกเล่มเป็นหนังสือที่ดีมากๆ เลยนะ ยังไงลองเลือกแบบที่ใช่สำหรับน้องๆ กันเนอะ เหมาะกับคนที่ภาษาอังกฤษค่อนข้างดี ถ้าไม่ได้เป็นนักเรียนอินเตอร์ หรือเป็นนักเรียนภาคไทยที่พื้นฐานภาษาอังกฤษดีมากๆ ตั้งแต่แรก อาจจะอ่านหนังสือ SAT แบรนด์ต่างประเทศลำบากนิดนึง ตัวเลือกหนังสือ SAT ในไทยก็มีใก้เลือกไม่เยอะซะด้วย ถ้าใครยังไม่แม่น ไม่ชัวร์ หรือมีเวลาเตรียมสอบน้อย อาจจะลองดูพวกคลิปสอนออนไลน์ หรือลงเรียน SAT กับครูไทยจะช่วยให้การสอบ SAT ง่ายขึ้นเยอะแน่นอนจ้า
คะแนน SAT เก็บไว้ได้กี่ปี?
คะแนนสอบ SAT มีอายุการใช้งานถึง 2 ปีนับจากวันที่ผลคะแนน SAT ประกาศ ถึงแม้คะแนน SAT จะมีอายุเพียงแค่ 2 ปีแต่ข้อสอบ SAT สามารถสอบได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง และไม่จำกัดอายุของผู้สอบ ดังนั้นเมื่อเรามีการวางแผนไว้แล้วว่าจะเข้าศึกษาต่อในคณะไหน เราสามารถสอบ SAT เตรียมไว้ได้ตั้งแต่ ม.5 หรือ เกรด 11 ได้เลย
วิธีการคิดคะแนน SAT โดยแปลงจากจำนวนข้อที่ทำถูกเป็นคะแนนสอบจริง
ระบบการเทียบคะแนนของ SAT Math จะใช้ระบบ Score Equating ที่จะทำให้แน่ใจได้ว่าระดับความยากของข้อสอบในแต่ละรอบ และระดับความสามารถของผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ในรอบเดียวกัน จะไม่ส่งผลต่อคะแนนของผู้เข้าสอบ
อธิบายง่าย ๆ คือ คะแนนที่จะได้นั้นเป็นตัวบ่งบอกความสามารถของของผู้เข้าสอบจริงๆ โดยไม่สนใจว่า จะสอบมาจากรอบใด ข้อสอบยากแค่ไหน หรือคนอื่นได้คะแนนเท่าไร การคิดคะแนนแต่ละรอบ จึงไม่เหมือนกันเลย ทำให้เราไม่สามารถรู้วิธีคิดเท่าไร จึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมบางคนทำ Simulation Test ได้คะแนนเท่านี้ แต่พอเข้าสอบจริง ได้คะแนนต่างกับที่เคยทำมานั่นเอง
นำคะแนนตามจำนวนข้อที่ถูกต้อง (Raw Score) มาเปลี่ยนเป็นคะแนนสอบ (Test Score) โดยเทียบกับตารางด้านบน วิธีการนี้คือการคำนวณคะแนนคร่าว ๆ เนื่องจาก Range คะแนนของข้อสอบแต่ละชุดไม่เท่ากัน คะแนนเหล่าจะนี้ถูกเปลี่ยนมาจาก Raw Score พูดง่ายๆ ก็คือคำนวณมาจาก จำนวนข้อที่เราทำถูกนั่นเอง ข้อที่ผิด จะไม่ถูกหักคะแนน ส่วนข้อที่ไม่ได้ทำก็คือ 0 คะแนน
ตัวอย่างเช่น
ในพาร์ท SAT Verbal Reading ได้จำนวนข้อที่ถูก = 23 ข้อ จะได้ Test Score = 24
และ Raw Score ในพาร์ท SAT Verbal Writing = 33 ข้อ ดังนั้น Test Score = 31
จึงนำคะแนนทั้ง 2 พาร์ทมารวมกันและนำไปคูณ 10 ก็จะได้คะแนนสอบจริงออกมา
สำหรับ SAT Math คิดคะแนน โดยการรวมคะแนน Raw Score จากทั้งสองพาร์ท Calculator และ No Calculator เข้าด้วยกัน
นำไปเทียบกับตารางคะแนน ก็จะได้ Raw Score รวม 2 พาร์ท เท่ากับ 50 คะแนน แสดงว่า Range คะแนนที่ได้ คือ 690 – 710 คะแนน
เกณฑ์คะแนน SAT สำหรับหลักสูตรนานาชาติในไทย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- คณะบริหารธุรกิจ หลักสูตรนานาชาติ (BBA)
SAT Total ≥ 1270
- คณะเศรษฐศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ (EBA)
SAT Verbal ≥ 450
- คณะอักษรศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ (BALAC)
SAT Verbal ≥ 480
- คณะนิเทศศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ (COMART)
SAT Verbal ≥ 450
- คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ (INDA)
SAT Verbal ≥ 450
- คณะวิศวกรรมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ (ISE)
SAT Math ≥ 620
- คณะจิตวิทยา หลักสูตรนานาชาติ (JIPP)
SAT Total ≥ 1100
- คณะวิทยาศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ หลักสูตรนานาชาติ (BBTech)
SAT Verbal ≥ 450
SAT Math ≥ 490
- คณะรัฐศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ (PGS)
SAT Verbal ≥ 500
SAT Total ≥ 1200
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- คณะบัญชีและบริหารธุรกิจหลักสูตรนานาชาติ (BBA)
SAT Verbal ≥ 460
SAT Math ≥ 600
- คณะเศรษฐศาสตร์หลักสูตรนานาชาติ (BE)
SAT Verbal ≥ 450
SAT Math ≥ 650
- สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT)
SAT Verbal ≥ 400
- คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนหลักสูตรนานาชาติ (BJM)
SAT Verbal ≥450
- คณะศิลปศาสตร์หลักสูตรนานาชาติ (BAS / BEC)
SAT Verbal ≥ 400
- คณะนิติศาสตร์หลักสูตรนานาชาติ (LLB)
SAT Verbal ≥ 550
รวมรายชื่อศูนย์สอบ SAT (SAT Test Center)
ส่วนใหญ่แล้วศูนย์สอบ SAT หรือ สถานที่สอบ SAT จะจัดที่โรงเรียนอินเตอร์ในประเทศไทย ซึ่งสามารถเลือกสนามสอบ SAT ที่ตนเองสะดวกได้เองตอนสมัคร SAT
Opendurian ได้รวบรวมรายชื่อศูนย์สอบ SAT ในประเทศไทยมาให้แล้ว (ทั้งนี้สนามสอบ SAT ดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือเข้าร่วมแค่บางรอบสอบ ควรตรวจสอบอีกครั้งบนเว็บไซต์ College Board ในขั้นตอนการสมัคร SAT)
การเลือกศูนย์สอบ SAT ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง?
1. สอบ SAT กี่โมง?
วันสอบ SAT ควรจะต้องเดินทางไปถึงสนามสอบ ภายในเวลา 7.45 น. เนื่องจากประตูจะเปิดให้เราเริ่มทยอยขึ้นห้อง และจะปิดเวลา 8.00 น. สิ่งที่ต้องพิจารณาหลักๆ ในการเลือกสนามสอบเลย ก็คือ เรื่อง ความสะดวก สบาย ใกล้บ้าน ง่ายต่อการเดินทาง เพื่อที่จะได้ไปถึงสนามสอบได้ทันเวลา และไม่เร่งรีบจนเกินไป
2. การจัดสอบ SAT ของแต่ละศูนย์สอบ
แม้ว่าระบบการสอบ SAT จะเป็นมาตรฐาน ขั้นตอนต่างๆ จะคล้ายกันทุกโรงเรียนอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม แต่ละโรงเรียนจะมีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย ในเรื่องของการจัดการ เช่น บางโรงเรียน นักเรียนทุกคนสอบห้องเดียว เป็นห้องประชุมใหญ่ แต่บางโรงเรียนจะแบ่งนักเรียนเป็นห้องเล็กๆ บางโรงเรียนใช้นาฬิการวมจับเวลาพร้อมกันทั้งหมด นักเรียนทุกคนสอบเสร็จพร้อมกัน แต่บางโรงเรียนใช้นาฬิกาแยกห้องเรียน ครูคุมสอบต่างคนต่างจับเวลา ห้องไหนเริ่มจับเวลาก่อน ก็สอบเสร็จก่อน เป็นต้น
3. ที่จอดรถของศูนย์สอบ SAT
ลานจอดรถ ก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะบางโรงเรียน มีลานจอดรถไม่พอ ดังนั้น ต้องวางแผนว่าเมื่อจะนำรถไปแล้ว จะไปจอดตรงไหน หากไม่มีที่จอดรถ ก็แนะนำให้ ลงที่สนามสอบ และให้ผู้ปกครองนำรถไปจอดที่อื่น หรืออาจมารับกลับภายหลังหลังสอบเสร็จ
สมัครสอบ SAT ยังไง?
การสมัครสอบ SAT นั้น สามารถทำได้จนจบกระบวนการบนเว็บไซต์ โดยจะแบ่งเป็น 2 ช่วงหลักๆ
1. สมัคร Account สำหรับ SAT
2. สมัครสอบ SAT
3. เช็คผลสอบ SAT
วิธีสมัคร Account สำหรับสมัครสอบ SAT
ดูวีดีโอสอน วิธีสมัคร Account สอบ SAT ที่นี่
สำหรับขั้นตอนการสมัครสอบ SAT นั้น เริ่มจากการเข้าเว็บไซต์ของ www.collegeboard.org กด Register Now แล้วทำตามขั้นตอนดังนี้
Step 1: เลือกเมนู Sign Up แล้วให้เลือกว่าเป็นนักเรียน หรือหากใครเคยมีข้อมูลอยู่แล้ว ให้ทำการ Sign In ได้เลย
Step 2: สร้าง Account ของเราเอง โดยกรอกข้อมูลส่วนตัวตามที่ระบุ ระบบจะขึ้นข้อมูลของเรามาให้เช่น ชื่อ นามสกุล เพศ และ วัน เดือน ปี เกิด เป็นต้น
Step 3: สร้าง Username และ Password ต้องมี 9-30 ตัว มีพิมพ์ใหญ่ และ พิมพ์เล็ก และ ตัวเลข และ สัญลักษณ์ ระวังห้ามลืม Username และ Password จะทำให้ Log In เข้าไปไม่ได้อีก
Step 4: จากนั้นเลือก I agree to the Terms & Conditions เพื่อยอมรับเงื่อนไขของทาง Scholastic Assessment Tests
วิธีสมัครสอบ SAT
ดูวีดีโอสอน วิธีสมัคร SAT แบบ Step by Step ที่นี่
Step 1: หลังจาก Log In เข้ามาแล้ว ให้กดไปที่ Register for the SAT
Step 2: กรอกข้อมูลส่วนตัวตามที่ระบบให้กรอก โดยทั่วไปจะเน้นไปที่ข้อมูลด้านการเรียนของตัวเราเอง รวมไปถึงข้อมูลการทำกิจกรรมที่เราสนใจและข้อมูลการเรียนต่อที่เราวางแผนไว้
Step 3: เลือกรอบสอบ SAT และสนามสอบ SAT
Step 4: อัพโหลดรูปถ่าย โดยต้องเป็นรูปเดี่ยวที่เห็นครึ่งตัวบนชัดเจน ไม่ใส่หมวก ไม่ปิดส่วนใดส่วนหนึ่งของภาพ และภาพต้องชัดเจน ไฟล์ภาพที่ใช้อัพโหลดจะเป็นรูปที่อยู่บน Admission Ticket ที่จะใช้ในวันสอบ ไฟล์ภาพที่ใช้อัพโหลดได้ คือ .gif, .jpg, .png
Step 5: Order Review โดนส่วนนี้จะมีตัวอย่าง บัตรสอบ (admission ticket) ให้ตรวจสอบข้อมูลทุกอย่าง ชื่อ นามสกุล วันเวลา สนามสอบ และค่าสมัครสอบ ว่าตรงกับ ID CARD หรือ PASSPORT หรือไม่ ถ้ามีจุดไหนไม่ตรงกับข้อมูลสามารถกดกลับไปแก้ไขได้
Step 6: ให้กด Make Payment แล้ว Confirm Your Information จากนั้นเลือกว่าจะจ่ายด้วยวิธีใด พร้อมกรอกข้อมูลการชำระเงิน เช่น ใส่บัญชี PayPal หรือ เลขบัตรเครดิต
Step 7: หลังจากนั้นจะมี Admission Ticket ให้เรา Print เพื่อนำไปยื่นคู่กับพาสปอร์ตหรือบัตรประชาชนตัวจริงในวันสอบ เราจะ Print ไว้เลยหรือจะเข้าระบบมา Print ภายหลังอีกครั้งก็ได้เช่นกัน
วิธีสมัครสอบ SAT เมื่อ College Board บอกว่า สนามสอบ SAT เต็ม
ใครที่สมัครสอบ SAT แล้ว แต่เจอเหตุการณ์ สนามสอบ SAT เต็ม หรืออาจจะว่างแค่สนามสอบที่เป็นจังหวัดอื่นที่ไกลและเดินทางไม่สะดวก อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะกรณีแบบนี้สามารถแก้ไขได้ไม่ยาก
- ก่อนอื่นให้เลือกคำว่า Let College Board find a test center for you และ เลือก ideal test center ใกล้บ้าน จากนั้นจะมีรายชื่อศูนย์สอบต่างๆ ขึ้นมา
ให้เรากดเลือกสนามสอบที่ต้องการ เพื่อรอเป็น Waiting List ของศูนย์สอบนั้น และจะมีการคอนเฟิร์มกลับมาทางอีเมลหลังจากการชำระเงินประมาณ 1-3 สัปดาห์ ว่าสนามสอบของเราคือที่ไหน ซึ่งเราอาจจะได้สนามสอบตามที่เราเลือกไว้หรืออาจจะได้สนามสอบอื่นก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ได้ตามที่เลือกไว้มากนัก เนื่องจากจะมีการกระจายรายชื่อของ Waiting List ไปยังศูนย์สอบใหญ่ๆ มากกว่า ดังนั้นหากรู้ตัวแล้วว่าได้ศูนย์สอบไหน ควรศึกษาเส้นทาง และวิธีการเดินทางเผื่อเอาไว้เลย
การเช็คคะแนน SAT
ดูคลิปสอน วิธีการเช็คผลสอบ SAT ที่นี่
หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าสอบ SAT แล้วผลสอบจะออกเมื่อไร โดยปกติแล้วเราจะได้รับคะแนน SAT ภายในเวลาประมาณ 2-3 อาทิตย์การเช็คผลสอบ SAT สามารถทำได้บนเว็บไซต์เช่นกัน ส่วนผลคะแนนตัวจริง สามารถเลือกวิธีการส่งคะแนน SAT ได้ 3 แบบ
- ส่งคะแนน SAT แบบฟรี เราสามารถกดเลือกให้ทาง College Board จัดส่งคะแนน SAT ให้กับทางคณะที่เลือกไว้ได้ตั้งแต่วันที่สมัครสอบไปจนถึง 9 วันหลังจากสอบ SAT หลังจากนั้นคะแนน SAT จะถูกส่งไปที่ทางคณะ ระยะเวลาส่ง 10 วัน
- ส่งคะแนน SAT แบบ Standard เมื่อเราต้องการให้ผลคะแนน SAT ภายใน 9 วันหลังสอบเสร็จ หรือต้องการส่งผลคะแนนมากกว่า 4 ชุด จะมีค่า ธรรมเนียมเพิ่มขึ้นชุดละ $12 โดยใช้ระยะเวลาในการส่งคะแนนเป็นเวลา 10 วัน
- ส่งคะแนน SAT แบบ Rush เป็นการส่งคะแนน SAT รวดเร็วกว่าปกติโดยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่ม $31 จากการส่งคะแนน SAT แบบ Standard โดยจะใช้เวลาจัดส่งคะแนน SAT 2-4 วันทำการ (ไม่รวมวันหยุดและเสาร์-อาทิตย์)
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก College Board: https://www.collegeboard.org
เรียน SAT Verbal ที่ไหนดี?
หากใครที่กำลังมองหา เทคนิค หรือ เคล็ดลับในการพิชิต SAT Verbal คอร์ส ''SAT Verbal Reading and Writing by Kru Nok & Kru Jeab'' ที่ OpenDurian คือ คอร์สที่จะปูทางให้ผู้เรียนเข้าสู่คณะอินเตอร์ในฝัน
- ตะลุยโจทย์เสมือนจริงทุกพาร์ท เข้าห้องสอบไม่มีงง
- ตีโจทย์แตกพร้อมเทคนิคอัพคะแนน
- อธิบายละเอียดตรงจุด
เพื่อให้การทำคะแนนนั้นเป็นไปตามที่เราตั้งเป้าหมายไว้ แน่นอนว่าการเตรียมตัวให้พร้อมนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ยิ่งเตรียมตัวดี เตรียมตัวล่วงหน้าได้นาน ก็จะยิ่งได้เปรียบ ที่ OpenDurian จึงมีคอร์สเรียน SAT Math ออนไลน์เพื่อเตรียมสอบ SAT Math โดย SAT MATH by Kru P' Beer สิ่งที่คุณจะได้รับ
- จับหลักข้อสอบได้ โดยไม่มีพื้นฐานก็เรียนได้
- อ่านโจทย์แล้วจับ Keyword ได้ โดยอธิบายแบบเจาะลึกทุกพาร์ท
- ฝึกแนว SAT Math จากข้อสอบจริง พร้อมหนังสือประกอบการเรียน
ข่าว/เทคนิคแนะนำ
รีวิวการสอบ IELTS Speaking รู้ขั้นตอนไว้ก่อน ชัวร์กว่า!
รีวิวการสอบ IELTS Speaking แบบละเอียด เจาะทุกจุด พร้อมแนวข้อสอบจริงทุกพาร์ท
แนะนำJun 17, 2024
IELTS UKVI คืออะไร? แตกต่างยังไงกับ IELTS Regular
หลายคนอาจเคยผ่านตากับ IELTS UKVI และอาจกำลังสงสัยอยู่ว่าคืออะไร แตกต่างยังไงกับการสอบ IELTS Regular และต้องเลือกสอบแบบไหนกันแน่ ครั้งนี้ทางบทความจะมาไขข้อสงสัยในเรื่องของ IELTS UKVI โดยเฉพาะ ให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจพร้อมๆ กัน
แนะนำJun 17, 2024
เจาะลึก! ข้อดี VS ข้อเสีย บินไกลไปเรียน IELTS ถึงต่างแดน
หลายคนมองเรื่องการลงเรียนคอร์ส IELTS ที่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา หรือประเทศอื่นๆ ด้วยความหวังว่าจะช่วยเพิ่มทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน เพื่อไปสอบ IELTS ได้ดีกว่าการเรียน IELTS ในประเทศ จึงยอมลงทุนจ่ายค่าคอร์สแพงๆ ทั้งที่ในความจริงแล้ว การไปเรียน IELTS ที่ต่างประเทศ ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียปะปนกัน ครั้งนี้เราจึงถือโอกาสเอาข้อมูลเปรียบเทียบแบบเจาะลึกมาฝาก เพื่อให้ผู้เรียนประกอบการตัดสินใจ
แนะนำJun 7, 2021
IELTS Mock Test คืออะไร? ทำไมต้องลองทำข้อสอบ IELTS ก่อนสอบจริง? สอบ IELTS Mock Test ที่ไหน?
เมื่อพูดถึงข้อสอบ IELTS เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้จักกลยุทธ์ลับที่เรียกว่า IELTS Mock Test วันนี้จะมาอธิบายให้ทุกคนฟังกันว่า IELTS Mock Test คืออะไร? ทำไมต้องลองทำข้อสอบ IELTS ก่อนสอบจริง? สอบ IELTS Mock Test ที่ไหน? ถ้างั้นมาทำความรู้จัก IELTS Mock Test กันเลยดีกว่า
แนะนำJul 23, 2024
IELTS Writing Task 2 ตัวอย่างโจทย์
IELTS Writing Task 2 โจทย์ออกอะไรบ้าง แต่ละแบบควรเขียนตอบยังไง? ลองมาดูกันเลย
แนะนำJun 17, 2024
IELTS Academic กับ General training ต่างกันยังไง ใช้แทนกันได้ไหม?
แทบจะเป็นคำถามเบสิคสำหรับคนที่จะสอบ IELTS ว่า IELTS Academic กับ General training ต่างกันยังไง หากจะจำแนกข้อสอบตามเนื้อหา จะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ Academic และ General training หลายคงสงสัยว่าทำไมต้องมี 2 ประเภท แล้วทั้ง 2 ประเภทนี้ต่างกันอย่างไรบ้าง สามารถนำผลสอบไปใช้แทนกันได้หรือไม่ได้อย่างไร เพื่อทำความเข้าใจร่วมกัน จึงมีการนำเอารายละเอียดเกี่ยวกับข้อสอบทั้ง 2 ประเภทมาชี้แจง ดังนี้
แนะนำJul 23, 2024
คอร์สเรียนแนะนำ