รีวิว Duolingo English Test การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษแบบใหม่มาแรง ใช้แทน IELTS TOEFL® CEFR ได้ รวมครบทุกแง่มุมที่ต้องรู้เกี่ยวกับการสอบ Duolingo English Test ที่นี่!
Duolingo English Test การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษน้องใหม่มาแรง ผลิตโดย Duolingo ผู้ผลิตแอปสอนภาษาฟรีระดับต้นๆ ของโลกที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 300 ล้านราย บทความนี้รวมข้อมูลครบที่สุด ละเอียดที่สุดเกี่ยวกับการสอบ Duolingo English Test ไว้ให้แล้ว ซึ่งจะมีทั้งรีวิวข้อสอบ Duolingo แบบละเอียด การเปรียบเทียบการสอบ Duolingo กับการสอบแบบอื่นๆ อย่าง IELTS/TOEFL/CEFR และตอบคำถามอื่นๆ ที่หลายๆ คนสงสัยครบทุกประเด็น
Duolingo English Test คือ การสอบภาษาอังกฤษออนไลน์แบบ Computer Adaptive Test สุดไฮเทค เพื่อใช้เพื่อวัดความสามารถของการใช้ภาษาอังกฤษ ในการฟัง พูด อ่าน เขียน
ข้อสอบ Duolingo พิเศษกว่าการสอบวัดระดับภาษาแบบอื่นๆ เนื่องจากมีการใช้ AI และผู้เชี่ยวชาญทางภาษาที่เป็นมนุษย์ในการทำระบบข้อสอบ การตรวจ และการมอนิเตอร์คนเข้าสอบ
ชุดข้อสอบ Duolingo English Test นี้มีความหลากหลายมาก เนื่องจากระหว่างการสอบ AI จะปรับระดับความยากง่ายของข้อสอบ Duolingo English Test ให้ตรงตามระดับผู้สอบโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะเลือกชุดคำถามที่เหมาะกับความสามารถของผู้สอบ ถ้าเราตอบระดับนี้ถูก คอมพิวเตอร์จะเลือกให้ทำข้อที่ยากขึ้น ถ้าตอบผิด คอมพิวเตอร์ก็จะเลือกข้อที่ง่ายลงมาให้ทำ เป็นต้น
ในการสอบ Duolingo ผู้สอบสามารถเข้าสอบออนไลน์จากที่ไหนก็ได้ แค่มีอินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ และ ห้องเงียบๆ ซึ่งสะดวกและตอบโจทย์มากในยุคปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ Duolingo English Test สามารถวัดระดับทักษะทางภาษาอังกฤษได้อย่างแม่นยำโดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
นอกจากนี้ค่าสอบยังมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษรูปแบบอื่นๆ เนื่องจากราคาอยู่ที่ 49 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1,600 บาท เท่านั้น ทำให้หลายๆ คนเริ่มสนใจการสอบ Duolingo Test แทนการสอบรูปแบบอื่นๆ อย่าง IELTS, TOEFL® และ CEFR
วีดีโอแนะนำ Duolingo English Test การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษแบบใหม่ที่มาแรงมาก!
คะแนน Duolingo English Test ใช้ยื่นอะไรได้บ้าง?
นอกจาก Duolingo English Test จะเป็นการสอบที่สะดวกมาก เพราะไม่ต้องเดินทางไปศูนย์สอบแล้ว ผลสอบยังสามารถใช้ยื่นเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยได้ ซึ่งตอนนี้มีมากกว่า 4,000 สถาบันทั่วโลก รวมถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น Yale University, Cornell University, Johnson School of Management, University of Edinburgh และ University College London ที่ยอมรับผลสอบ Duolingo English Test ส่วนในไทยเองก็มีหลายที่เช่น จุฬาลงกรณ์, มหิดล, ธรรมศาสตร์ และอื่น ๆ (โดยสามารถใช้คะแนนยื่นได้ตามคณะหรือสาขาที่ระบุ)
เช็คมหาวิทยาลัยและสถาบันที่ยอมรับคะแนน Duolingo English Test เพิ่มเติม ที่นี่
หลังจากที่สร้าง Account ของตัวเองบนเว็บไซต์ Duolingo English Test และชำระเงินค่าสมัครสอบเรียบร้อยแล้ว จะสามารถดาวน์โหลดแอปสอบได้ ซึ่งการสอบ Duolingo แบ่งขั้นตอนได้ 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ คือ
ขั้นตอนที่ 1: เตรียมตัวสอบ Set up (5-10 นาที)
ขั้นตอนแรกสุดหลังจากดาวน์โหลดและติดตั้งแอปสอบเรียบร้อยแล้ว จะเป็นการเซ็ตอัพให้คอมพิวเตอร์ตัวเองพร้อมสอบ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งองศากล้องหรือเช็คไมโครโฟน และลงทะเบียนยืนยันตัวตนด้วยรูปถ่าย พร้อมบัตรประจำตัวประชาชน
ขั้นตอนที่ 2: สอบ Adaptive Test (25-45 นาที)
ข้อสอบส่วนนี้จะวัดทั้ง 4 ทักษะ คือ Reading (การเขียน), Listening (การฟัง), Writing (การเขียน), และ Speaking (การพูด) นี่คือส่วนหลักของการสอบและเป็นส่วนที่คิดคะแนน ซึ่งเวลาในการสอบและชุดคำถามที่ใช้สอบจะขึ้นอยู่กับผู้เข้าสอบแต่ละคน
ขั้นตอนที่ 3: สัมภาษณ์และข้อเขียน (10 นาที)
ส่วนนี้เรียกว่า Video/Writing Sample หรือตัวอย่างวิดีโอการสัมภาษณ์และการเขียน ข้อสอบจะให้เลือกคำถามในการเขียนและการสัมภาษณ์ ซึ่งระดับคำถามที่จะได้ขึ้นอยู่กับระดับคะแนนที่เราทำได้ในส่วน Adaptive Test ซึ่งในส่วนวิดีโอสัมภาษณ์ และวิดีโอการเขียนจะถูกส่งไปพร้อมกับคะแนนส่วน Adaptive Test ที่มหาวิทยาลัยที่เรายื่นคะแนน
ตัวอย่างใบรายงานผลสอบ Duolingo English Test
หลังจากเราทำข้อสอบเสร็จหมดแล้ว ให้รอจนแน่ใจว่าแอปอัพโหลดข้อสอบที่เราเพิ่งส่งไปเรียบร้อยแล้วค่อยปิดแอป จากนั้นรอรับผลสอบภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งผลสอบนี้เราสามารถส่งไปมหาวิทยาลัยกี่ที่ก็ได้ที่ต้องการ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
กฎการสอบ Duolingo English Test ที่ต้องจำให้ขึ้นใจ
แม้ว่าข้อสอบ Duolingo English Test จะสอบที่ไหนก็ได้ แต่การสอบ Duolingo English Test มีกฎที่เข้มงวดมาก ดังนี้
- ผู้เข้าสอบต้องอยู่คนเดียวในห้องที่มีแสงสว่างเพียงพอ และไม่สามารถพูดคุยติดต่อกับผู้อื่นได้ในระหว่างการสอบ
- ต้องให้กล้องเห็นใบหูของผู้เข้าสอบ และผู้เข้าสอบห้ามใช้หูฟังทุกชนิด
- ต้องให้กล้องเห็นใบหน้าของผู้เข้าสอบชัดเจน
- ห้ามนำอุปกรณ์อื่นๆ มาใช้ระหว่างการสอบ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์มือถือ โน้ต ชีท หรือหนังสือเรียนต่างๆ ถ้าจะให้ดีคือนำไปเก็บนอกห้อง ตรงนี้คือปฏิบัติตัวให้เหมือนเราไปสอบที่ศูนย์สอบ
- ห้ามใช้อุปกรณ์การเขียนใดๆ ก็ตาม ห้ามจดโน้ตระหว่างสอบ
- ห้ามกดออกจากแอปในระหว่างการสอบ
- ห้ามเบนสายตาออกจากหน้าจอ ต้องมองจอตลอดเวลาที่สอบ
ซึ่งหาก AI หรือผู้คุมสอบที่เป็นมนุษย์พบว่าผู้เข้าสอบมีพฤติกรรมน่าสงสัย ผู้เข้าสอบคนนั้นอาจจะต้องสอบใหม่ โดยที่ทาง Duolingo ไม่คืนเงินค่าสอบให้ แต่ถ้ามีพฤติกรรมชัดเจนเลยว่าโกง อาจจะถูกแบนไม่ให้สอบ Duolingo English Test ไปเลย
วีดีโอแนะนำวิธีการเข้าสอบ Duolingo English Test และ วิธีส่งคะแนนไปยังมหาลัยต่างๆ
มาถึงส่วนที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับการสอบ Duolingo English Test ซึ่งก็คือรีวิวข้อสอบ Duolingo English Test ที่ทุกคนจะต้องเจอ ถึงแม้ว่า Duolingo English Test จะวัด 4 ทักษะเหมือน IELTS กับ TOEFL® แต่ข้อสอบ Duolingo English Test ในส่วน Adaptive Test จะไม่ได้แยกวัดทีละทักษะ แต่จะวัด 2 ทักษะพร้อมๆ กันขึ้นไปในแต่ละชุดคำถาม ในส่วนถัดไปจะมารีวิวหน้าตาการสอบ Duolingo และ ข้อสอบ Duolingo แบบละเอียดกัน
รีวิวส่วนต่างๆ ของการสอบ Duolingo English Test
ก่อนที่จะสอบ Duolingo English Test เราควรทำความคุ้นเคยกับแผนผังแอปข้อสอบให้ดี ซึ่งนอกจากตัวคำถามและปุ่มส่งคำตอบแล้ว สิ่งที่สำคัญบนตัวแอปก็จะมีนาฬิกาจับเวลา แท่งสีส้มแสดงความคืบหน้าในการทำข้อสอบของเรา และวิดีโอบันทึกหน้าเราระหว่างการทำข้อสอบ ตามรูปด้านล่าง
รีวิวประเภทคำถามของ Duolingo English Test
ในการสอบ Duolingo จะมีคำถามหลากหลายรูปแบบที่จะต้องเจอ ซึ่งประเภทของคำถามใน Duolingo English Test แต่ละแบบก็วัดทักษะภาษาอังกฤษแตกต่างกันออกไป สำหรับคำถามที่ผู้สอบ Duolingo จะเจอจะมี 13 แบบหลักๆ มาดูกันเลยว่าข้อสอบ Duolingo ที่จะต้องเจอมีแบบไหนบ้าง
แบบที่ 1: อ่านและเติมคำให้ถูกต้อง (Read and Complete)
(3 นาทีต่อข้อ)
จะมีพารากราฟที่ข้อความประโยคแรกมักจะสมบูรณ์ แต่ประโยคถัด ๆ ไปจะมีคำที่ตัวอักษรขาดหายไป สิ่งที่ต้องทำคือเติมตัวอักษรให้เป็นคำที่สมบูรณ์และมีความหมายสอดคล้องกับทั้งพารากราฟ *สำคัญ* เฉพาะคำถามประเภทนี้ต้องตอบโดยใช้ตัวสะกดแบบอเมริกันเท่านั้น
ทักษะที่วัด:
การอ่าน, โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษ, คำศัพท์, การสะกดคำ
แบบที่ 2: อ่านและเลือกคำที่ถูกต้อง (Read and Select)
(1 นาทีต่อข้อ)
จะมีลิสต์คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ทั้งจริงและปลอมมาให้ดู เราต้องคลิกเลือกเฉพาะคำที่เป็นคำภาษาอังกฤษจริงๆ เท่านั้น
ทักษะที่วัด:
ความรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษ, การสะกดคำ
แบบที่ 3: ฟังและพิมพ์ตามที่ได้ยิน (Listen and Type)
(1 นาทีต่อข้อ)
จะมีไฟล์เสียง 1 ไฟล์ความยาวประมาณ 1 ประโยคมาให้เราถอดเทปโดยการพิมพ์ เราสามารถฟังได้ทั้งหมด 3 ครั้ง
ทักษะที่วัด:
การฟัง, การเขียน
แบบที่ 4: อ่านออกเสียงตามข้อความที่ให้ (Read Aloud)
(20 วินาทีต่อข้อ)
คำถามนี้จะให้ประโยคมา 1 ประโยค เราต้องอ่านประโยคนั้นออกเสียงให้ชัดเจน นาฬิกาจะจับเวลาทันทีที่ประโยคปรากฎ
ทักษะที่วัด:
การพูดและการออกเสียง (Pronunciation, stress, and intonation)
แบบที่ 5: เขียนบรรยายภาพ (Write about the Photo)
(60 วินาทีต่อข้อ)
ทักษะที่วัด: การเขียน, แกรมม่า, คำศัพท์
แบบที่ 6: พูดบรรยายภาพ (Speak about the Photo)
(30-90 วินาทีต่อข้อ)
ทักษะที่วัด: การพูด
แบบที่ 7: อ่านและเขียนตอบคำถาม (Read then Write)
(5 นาทีต่อข้อ)
ทักษะที่วัด: การอ่าน, การเขียน, ความรู้ศัพท์
แบบที่ 8: อ่านและพูดตอบคำถาม (Read then Speak)
(พูดตอบ 30-90 วินาที)
ทักษะที่วัด: การพูด (ดูความลื่นไหล, ความถูกต้องตามหลัก,ภาษา, การออกเสียง, และความตรงประเด็น)
แบบที่ 9: ฟังและพูดตอบคำถาม (Listen then Speak)
(พูดตอบ 30-90 วินาที)
ทักษะที่วัด: การฟัง, การพูด
แบบที่ 10: อ่านและทำบทความให้สมบูรณ์ (Interactive Reading)
(7-8 นาที / จำนวน 2 ชุดบทความ / คำถามชุดละ 6 ข้อ)
คำถามรูปแบบนี้จะไม่เหมือนกับการอ่านแล้วตอบคำถามทั่วไป เพราะจะมีรูปแบบคำถามย่อยให้ผู้เข้าสอบทำ โดยรูปแบบคำถามย่อยได้แก่
10.1 Complete the Senteces
ทักษะที่วัด: การอ่าน, แกรมม่า, คำศัพท์
10.2 Complete the Passage
ทักษะที่วัด: การอ่าน, ความเข้าใจ
10.3 Highlight the Answer
ทักษะที่วัด: การอ่าน, ความเข้าใจ
10.4 Identify the Idea
ทักษะที่วัด: การอ่าน, ความเข้าใจ
10.5 Title the Passage
ทักษะที่วัด: การอ่าน, ความเข้าใจ
แบบที่ 11: Interactive Listening
(4 นาที 75 วินาที / 1 ชุดคำถาม)
คำถามรูปแบบนี้จะเป็นการจำลองสถานการณ์ว่าเราเป็นนักเรียนที่กำลังคุยกับอาจารย์ หรือคุยกับเพื่อนร่วมชั้น โดยจะมีการให้ฟังประโยคสนทนา และเลือกต่อบทสนทนาให้เหมาะสม หลังการนั้นจะเป็นโจทย์แบบให้พิมพ์สรุปความว่าบทสนทนาที่เพิ่งจบไปมีใจความสรุปว่ายังไงบ้าง
11.1 Listen and Respond (4 นาที)
ทักษะที่วัด: การฟัง, ความเข้าใจ
11.2 Summarize the Conversation (75 วินาที)
ทักษะที่วัด: การเขียน, ความเข้าใจ
แบบที่ 12: สัมภาษณ์คำถามปลายเปิด (Video Sample)
(1-3 นาที)
ทักษะที่วัด: การพูด, แกรมม่า, คำศัพท์
แบบที่ 13: เขียนตอบคำถามปลายเปิด (Writing Sample)
(3-5 นาที)
ทักษะที่วัด: การเขียน, แกรมม่า, คำศัพท์
ลองฝึกทำข้อสอบฟรี ที่นี่
ขั้นสูง : ระดับผลคะแนนอยู่ในช่วง 120 - 160 คะแนน
- เข้าใจแง่มุมที่หลากหลายของภาษาเขียนและภาษาพูด รวมถึงภาษาเฉพาะทางในแต่ละสถานการณ์ต่างๆ
- เข้าใจนัยยะที่แฝงอยู่หรือคำอุปมาอุปไมยต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ในภาษา ทั้งในภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือภาษาที่เล่นสำนวน
- ใช้ภาษาได้อย่างลื่นไหลและสื่อความหมายได้คล่องแคล่วมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นในบริบทชีวิตสังคมทั่วไป บริบทเชิงวิชาการ และบริบทเชิงวิชาชีพ
ขั้นกลางตอนปลาย : ระดับผลคะแนนอยู่ในช่วง 85 - 115 คะแนน
- สื่อสารความหมายได้ครบเป็นส่วนใหญ่ แม้จะไม่คุ้นเคยกับบางหัวข้อ
- เข้าใจประเด็นหลักของภาษาพูดและภาษาเขียน ทั้งในเชิงรูปธรรมและนามธรรม
- สนทนาโต้ตอบกับผู้พูดที่มีความชำนาญได้โดยไม่ลำบากนัก
ขั้นกลาง : ระดับผลคะแนนอยู่ในช่วง 55 - 80 คะแนน
- เข้าใจประเด็นหลักของภาษาพูดที่เป็นรูปธรรม หรือของภาษาเขียนที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน เช่น สถานการณ์ในที่ทำงานหรือโรงเรียน
- เล่าเรื่องหรืออธิบายหัวข้อต่างๆ ได้ ดังนี้: ประสบการณ์, สิ่งที่อยากได้หรืออยากจะเป็น, ความคิดเห็น, และแผนการในอนาคต แม้จะยังมีจุดที่ดูแล้วยังลังเลหรือเงอะงะอยู่บ้าง
ขั้นพื้นฐาน : ระดับผลคะแนนอยู่ในช่วง 10 - 50 คะแนน
- เข้าใจคำหรือวลีพื้นฐานของภาษาอังกฤษที่ง่ายๆ ได้
- เข้าใจข้อมูลที่ตรงไปตรงมาและถ่ายทอดข้อมูลประเภทเดียวกันออกมาได้ถ้าเป็นสถานการณ์ที่คุ้นเคย
การสอบ Duolingo English Test จะเป็นการสอบที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการวัดผลเป็นหลัก ซึ่งในการให้คะแนนจะแตกต่างไปในแต่ละลักษณะข้อสอบ โดยมีรายละเอียดดังนี้
การให้คะแนนคำถามประเภท Adaptive Tests
สำหรับคำถามประเภท “อ่านและเติมคำ” (Read and Complete), “อ่านและเลือกคำ” (Read and Select), “ฟังและพิมพ์” (Listen and Type) และ “อ่านออกเสียง” (Read Aloud) คำถามเหล่านี้จะมีการถูกคิดคะแนนด้วยระบบพิเศษสำหรับแต่ละประเภทคำถามโดย AI ซึ่งกระบวนการคิดคะแนนนี้จะเปรียบเทียบคำตอบของเรากับคำตอบที่ถูกต้อง โดยประเมินความคล้ายคลึงและความแตกต่าง
แต่ข้อดีก็คือ ถึงคำตอบของเราจะไม่ได้ถูกทั้งหมด แต่เราก็ยังสามารถได้คะแนนบ้าง และจะไม่ถูกตัดคะแนนถ้าตอบผิด ตัวอย่างเช่น ในคำถามประเภท “อ่านและเติมคำ” เราจะได้รับคะแนนเท่ากันถ้าตอบผิดหรือไม่ตอบอะไรเลย ส่วนสำหรับคำถามประเภท “ฟังและพิมพ์” ถ้าเราพิมพ์ตกคำใดคำหนึ่งไป เราจะถูกตัดคะแนนเยอะกว่าถ้าเราพิมพ์คำใดคำหนึ่งผิด ดังนั้น จะดีที่สุดถ้าเราตอบทุกคำถาม
การให้คะแนนคำถามประเภทวัด Production
สำหรับคำถามประเภท “เขียนบรรยายภาพ” (Write about the Photo), “พูดเกี่ยวกับภาพ” (Speak about the Photo), “อ่านแล้วเขียน” (Read then Write), “อ่านแล้วพูด” (Read then Speak), และ (Listen then Speak) เป็นคำถามปลายเปิด และคำตอบของเราจะถูกให้คะแนนผ่านระบบ AI ซึ่งระบบจะตรวจระดับความเชี่ยวชาญการใช้ภาษาอังกฤษของเราเหมือนกับคนตรวจที่เป็นมนุษย์ ตัวอย่างจุดต่างๆ ที่ AI ตรวจ เช่น
- ความถูกต้องของไวยากรณ์ (grammatical accuracy)
- ความหลากหลายของไวยากรณ์ (grammatical complexity)
- ระดับของคำศัพท์ที่ใช้ (lexical sophistication)
- ความหลากหลายของคำศัพท์ที่เลือกใช้ (lexical diversity)
- ตอบคำถามได้ดีและตรงประเด็นแค่ไหน (task relevance)
- สามารถพูดหรือเขียนได้มากเท่าไหร่ในเวลาที่จำกัด (fluency)
- การออกเสียงหรือจังหวะในการสอบพูด (acoustic features)
อย่าลืมว่า แม้ว่าการสอบจะถูกคิดคะแนนด้วยระบบคอมพิวเตอร์ แต่ผู้คุมสอบหลายคนที่เป็นมนุษย์จะตรวจวิดีโอที่บันทึกการสอบของเราด้วย ส่วนข้อสอบ IELTS, TOEFL, และ Cambridge CEFR เน้นใช้ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ตรวจเป็นหลัก
Duolingo English Test, IELTS, TOEFL® , และ Cambridge CEFR เป็นการสอบวัดทักษะภาษาอังกฤษที่มีเวอร์ชั่น Computer-based หรือสอบบนคอม และผลสอบก็เอาไปยื่นสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ แม้ว่าจำนวนมหาวิทยาลัยทั่วโลกที่ยอมรับคะแนน IELTS, TOEFL®, และ Cambridge CEFR ตอนนี้จะมีมากกว่า Duolingo English Test ค่อนข้างมาก แต่การยอมรับผลสอบของ Duolingo English Test เองก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัดของ Duolingo English Test คือ ความสะดวกรวดเร็ว การใช้เวลาสอบและการรอผลทดสอบที่สั้นกว่า รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ประหยัดมากกว่า เมื่อเทียบกับ IELTS, TOEFL, และ Cambridge CEFR โดยมีรายละเอียดดังนี้
- เวลาที่ใช้ทำข้อสอบ
การสอบ Duolingo English Test สะดวกและประหยัดเวลาตรงที่ผู้เข้าสอบสามารถทำข้อสอบที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ และใช้เวลาแค่ประมาณ 1 ชั่วโมงสำหรับขั้นตอนทั้งหมดในการลงทะเบียนและสอบ แต่ว่า IELTS, TOEFL, และ Cambridge CEFR นั้นต้องมีการจองที่สอบล่วงหน้าและใช้เวลาสอบประมาณ 2 - 4 ชั่วโมง
- เวลาส่งผลคะแนน
Duolingo English Test ยังใช้เวลาแค่ 2 วันในการส่งผลสอบ ต่างจาก IELTS, TOEFL, และ Cambridge CEFR ที่ใช้เวลาตั้งแต่ 3 - 40 วัน ในการส่งผลคะแนน
- ความประหยัด
ค่าสอบของ Duolingo English Test ยังประหยัดกว่ามาก และจ่ายเพียงครั้งเดียวแต่สามารถยื่นผลสอบได้ไม่จำกัดมหาวิทยาลัย
อีกประเด็นที่น่าสนใจของ Duolingo English Test คือ การสอบสัมภาษณ์วิดีโอที่จะเป็นการตอบคำถามสั้นๆ เพื่อแสดงทักษะพูดภาษาอังกฤษประมาณ 1-3 นาที เพื่อให้มหาวิทยาลัยคัดเลือก การสอบแบบนี้ทำให้ไม่ต้องตอบคำถามมากเกินความจำเป็น จุดนี้จะต่างจาก IELTS, TOEFL, และ Cambridge CEFR ที่จะใช้เวลาทดสอบพาร์ท Speaking ตั้งแต่ 11-17 นาที ซึ่งมีคำถามที่หลากหลายพอสมควรและไม่มีการส่งวีดีโอสัมภาษณ์ให้มหาวิทยาลัยดูประกอบการคัดเลือกเพิ่มเติมเหมือนของ Duolingo
การสอบ IELTS (International English Language Testing System) เป็นการสอบวัดระดับทักษะภาษาอังกฤษจากประเทศอังกฤษที่ได้รับความนิยมสูงมากทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยเฉพาะผู้ที่จะไปศึกษาต่อหรือยื่นวีซ่าเขประเทศอังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
การสอบ Duolingo English Test กับ IELTS พอจะเปรียบเทียบได้ ดังนี้
ความสะดวกเรื่องการเข้าสอบ
Duolingo English Test มีรูปแบบเดียวคือการสอบออนไลน์ในคอม แต่ว่า IELTS ถึงจะมีการสอบบนคอมพิวเตอร์ (Computer-based) แต่ก็ยังต้องจองล่วงหน้าและเดินทางไปสอบที่ศูนย์สอบ ขณะที่ Duolingo สามารถลงทะเบียนก่อนสอบได้เลยทันทีไม่ต้องจองที่ล่วงหน้าเป็นวัน
ระยะเวลาที่ใช้สอบ
การสอบ Duolingo English Test จะวัดทั้ง 4 ทักษะภายใน 1 ชั่วโมงเพราะเป็นข้อสอบแบบ Adaptive คือปรับความยากตามระดับคนสอบ ในขณะที่ IELTS ใช้เวลาการสอบทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาที และแยกสอบทักษะเป็นส่วนๆ
ระยะเวลารอรับผล
Duolingo รอรับผลได้ภายใน 2 วัน ในขณะที่ IELTS แบบคอมใช้เวลาสอบทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาที รอผลใน 3-5 วัน
การสอบ Speaking
Speaking ใน Duolingo English Test จะเป็นการพูดอัดวิดีโอ ตรงนี้อาจจะทำให้คนสอบตื่นเต้นน้อยกว่าการต้องสอบ Speaking กับเจ้าของภาษาที่เป็นคนจริงๆ แบบ IELTS
ค่าสอบ
ข้อสำคัญอีกข้อคือ ค่าสอบ Duolingo English Test ถูกกว่า IELTS ค่อนข้างมาก โดยการสอบ Duolingo English Test 1 ครั้ง (ประมาณ 1,600 บาท) สามารถยื่นผลสอบได้ไม่จำกัดมหาวิทยาลัย ขณะที่ค่าสอบ IELTS ซึ่งอยู่ที่ราวๆ เจ็ดพันบาท แต่ถ้าจะยื่นเรียนต่อมากกว่า 5 มหาวิทยาลัยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่ม
การสอบ TOEFL เป็นการสอบวัดระดับทักษะภาษาอังกฤษจากสหรัฐอมเริกาที่ได้รับความนิยมมากทั่วโลก ปัจจุบันการสอบ TOEFL ในประเทศไทยมีอยู่ทั้งหมด 3 ประเภท คือ 1) TOEFL iBT หรือ การสอบ TOEFL ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต สอบทั้ง 4 ทักษะ 2) TOEFL pBT หรือ การสอบ TOEFL บนกระดาษ สอบทั้ง 4 ทักษะเช่นกัน และ 3) TOEFL iTP ซึ่งเป็นแบบที่สถาบันการศึกษาต่างๆ ซื้อจาก TOEFL ไป และ TOEFL iTP นี้จะใช้ได้กับเฉพาะบางสถาบันหรือองค์กรที่ระบุว่าต้องการคะแนน TOEFL iTP เท่านั้น
ในบทความนี้จะเปรียบเทียบ Duolingo English Test กับการสอบ TOEFL ประเภท iBT ซึ่งสามารถสอบผ่านคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต และวัดทั้ง 4 ทักษะเหมือนกับ Duolingo
ข้อแตกต่างระหว่าง Duolingo English Test กับ TOEFL iBT หลักๆ ไม่ได้แตกต่างจากการเปรียบเทียบกับ IELTS มากนัก แต่จะมีรายละเอียดที่ต่างกัน ดังนี้
ความสะดวกเรื่องการเข้าสอบ
ทั้ง Duolingo English Test และ TOEFL iBT สอบบนคอมพิวเตอร์ที่บ้านของตนเองได้ เนื่องจากในช่วงโควิดทาง TOEFL iBT เองก็มีตัวเลือกการสอบที่บ้าน (Special Home Edition) เช่นกัน สามารถสอบได้ทุกวันและมีหลายรอบเวลาให้เลือก แต่ความแตกต่างคือ Duolingo English Test ไม่ต้องจองล่วงหน้า ส่วน TOEFL iBT Special Home Edition ยังคงต้องจองออนไลน์ล่วงหน้า
เวลาที่ใช้สอบ
Duolingo ใช้เวลาสอบไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ส่วน TOEFL iBT Special Home Edition ใช้เวลาสอบราว 3 ชั่วโมง
ระยะเวลารอรับผลสอบ
Duolingo รอรับผลได้ภายใน 2 วัน แต่ TOEFL iBT Special Home Edition รอผล 6-10 วัน จะเห็นได้ว่าการสอบ Duolingo English Test นั้นประหยัดเวลากว่าค่อนข้างมาก
การสอบ Speaking
การสอบ Speaking ใน Duolingo English Test จะมีทั้งส่วนที่คิดคะแนนรวมๆ แล้วประมาณ 8-10 นาที (พูดสั้นสุด 30 วินาที และนานสุด 5 นาที) และส่วนที่ไม่คิดคะแนนอีก 1-3 นาที แต่ของ TOEFL iBT คิดคะแนนทั้งหมด ใช้เวลา 17 นาที และวัดทั้งทักษะการฟังและการอ่านจับใจความด้วย
ค่าสอบ
ค่าสอบ Duolingo English Test ราคาประมาณ 1,600 บาทและสามารถยื่นผลได้ไม่จำกัดมหาวิทยาลัย ในขณะที่ค่าสอบ TOEFL iBT อยู่ที่ราวๆ เจ็ดพันบาท และหากต้องการยื่นมากกว่า 4 สถาบันจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
CEFR คือ การวัดระดับทางภาษาตามมาตรฐาน Common European Framework of Reference for Languages (CEFR) ซึ่งภาษาอังกฤษก็เป็นภาษาหนึ่งของทวีปยุโรป ดังนั้นภาษาอังกฤษก็มีการวัดระดับตามมาตรฐานนี้เช่นกัน
ถึงแม้ว่าในประเทศไทย การสอบ CEFR ของ Cambridge จะไม่เป็นที่นิยมเท่า IELTS และ TOEFL แต่ Cambridge CEFR ก็เป็นที่ยอมรับในมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกไม่แพ้ IELTS และ TOEFL นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชั่นสอบบนคอมพิวเตอร์อีกด้วย ส่วนข้อแตกต่างที่น่าสนใจระหว่าง Duolingo English Test กับ Cambridge CEFR มีดังนี้
ความสะดวกเรื่องการสมัครสอบ
ในขณะที่ Duolingo English Test นั้นสามารถสมัครและสอบเองได้ที่บ้าน แต่ Cambridge CEFR นั้นต้องสอบผ่านตัวแทนศูนย์สอบแม้ว่าจะเป็นการสอบบนคอมพิวเตอร์ก็ตาม นอกจากนี้ รอบสอบของ CEFR ยังค่อนข้างมีน้อยในไทย
โอกาสที่เราจะได้รับผลสอบที่สามารถนำไปใช้ได้
สำหรับ Duolingo English Test แม้จะได้คะแนนไม่ถึงที่คาดหวังไว้ แต่ก็ยังได้รับ certificate อยู่ดีไม่ว่าจะได้คะแนนเท่าไรก็ตาม แต่กับ Cambridge CEFR แล้ว ต้องเลือกระดับที่มั่นใจว่าจะสอบได้ เช่น เลือกสอบ C1 Advanced ผลสอบที่ได้จะมีแค่ 2 แบบคือ “ผ่าน” และ “ไม่ผ่าน” เท่านั้น ซึ่งถ้าไม่ผ่านก็ต้องสอบใหม่เรื่อยๆ
เวลาที่ใช้สอบ ระยะเวลาในการรอผล และค่าสอบ
Duolingo English Test ใช้เวลาสอบไม่เกิน 1 ชั่วโมง รอผล 2 วัน และค่าสอบประมาณ 1,600 บาท แต่ Cambridge CEFR จะใช้เวลาสอบกี่ชั่วโมง รอรับผลกี่วัน และค่าสอบเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับระดับที่เลือกสอบและศูนย์สอบแต่ละศูนย์ โดยปกติจะใช้เวลาสอบ 2-4 ชั่วโมง รอผลอย่างน้อย 14 วัน และค่าสอบจะอยู่ที่ประมาณ 4,600 บาท ขึ้นไป
อายุผลสอบ
ผลสอบของ Duolingo English Test สามารถใช้งานได้ 2 ปี ส่วนของ Cambridge CEFR ถึงแม้จะไม่มีกำหนดหมดอายุ แต่ต้องเช็คกับทางสถาบันหรือองค์กรที่เรายื่นคะแนนด้วย เพราะปกติจะนิยมรับผลสอบภาษาอังกฤษที่อายุไม่เกิน 2-3 ปี
ดูการเทียบคะแนนเพิ่มเติมบนเว็บ Official คลิกที่นี่
การสอบ Duolingo English Test ยากไหม?
สอบ Duolingo ใช้เวลานานแค่ไหน?
ตอนสอบสามารถกดข้ามคำถามดีรึเปล่า?
ตอนสามารถย้อนกลับไปข้อก่อนหน้าได้รึเปล่า?
ถ้าตอบผิดตั้งแต่เริ่มทำ คะแนนจะออกมาน้อยไหม?
สำเนียงไม่ดี จะถูกหักคะแนนไหม?
สอบ Duolingo English Test ได้บ่อยแค่ไหน?
ถ้าในระหว่างสอบอยู่เกิดมีปัญหาทางเทคนิคขึ้นมาต้องทำยังไง?
ผลสอบ Duolingo English Test สามารถนำไปยื่นทำวีซ่าได้ไหม?
คำถามของแต่ละคนในการสอบ Duolingo ได้ไม่เหมือนกัน แล้วแบบนี้แฟร์รึเปล่า
สำหรับใครที่มีแพลนว่าจะสอบ Duolingo English Test เพื่อยื่นเรียนต่อต่างประเทศ หรือ ทำงานเมืองนอก ถ้ามีเวลาเตรียมตัวยาวๆ สามารถเพิ่มทักษะภาษาอังกฤษโดยการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษบ่อยๆ เช่น การอ่านหนังสือเป็นภาษาอังกฤษ ดูหนัง ซีรีส์ หรือฟังเพลงและพอดแคสต์เป็นภาษาอังกฤษ แต่ถ้ามุ่งสอบ Duolingo ให้ได้ระดับที่ต้องการอย่างจริงจัง ควรจะเรียนอย่างเป็นระบบ โดยเพราะทักษะ Production อย่างการเขียนและการพูดที่ต้องมีความเข้าใจในการใช้แกรมมาร์ โครงสร้างประโยค และคำศัพท์ที่หลากหลาย ซึ่งครูที่ดีและมีประสบการณ์สอนมากจะทราบเทคนิคและมีแนวทางที่จะช่วยอัพทักษะและคะแนนของเพื่อนๆ ได้เร็วขึ้นกว่าฝึกเองแน่นอน
สำหรับคนที่กำลังเตรียมตัวสอบ Duolingo English Test และต้องการตัวช่วยดีๆ เพื่อติวสอบ Duolingo ขอแนะนำคอร์ส Duolingo English Test
คอร์สติว Duolingo English Test
คอร์สติว Duolingo English Test จะพาไปรู้จักข้อสอบและหน้าตาข้อสอบ รวมทั้งเนื้อหา Grammar ศัพท์ เทคนิคที่สามารถเอาไปประยุกต์ใช้กับการสอบได้
*คอร์สเรียนจะมีเนื้อหาครบทุกพาร์ท ยกเว้นพาร์ท Interactive Listening ที่เป็นรูปแบบข้อสอบใหม่ล่าสุด (จะมีชีท PDF แจกพร้อมตัวอย่างข้อสอบให้ต่างหาก)
จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยคณะอินเตอร์ จะเรียนต่อต่างประเทศ ต้องติวกับครูเจี๊ยบ
- ประสบการณ์สอนภาษาอังกฤษ กว่า 25 ปี
- ส่งลูกศิษย์ถึงฝันมาแล้วกว่า 20,000 คน
- ผู้เชี่ยวชาญการสอน IELTS, SAT Verbal, CU-TEP, TOEFL, GED, TOEIC, Duolingo English Test ฯลฯ
- ผู้ก่อตั้งสถาบันสอนภาษา PromptMind (ในความดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ)
- วิทยากรรับเชิญไปบรรยายและสอนภาษาอังกฤษให้กับสถาบันและบริษัทชั้นนําต่าง ๆ ทั่วประเทศ
- Master of Education (TESOL), The University of Melbourne, Australia
- Bachelor of Education (TEFL), Chulalongkorn University, Thailand
- อดีตอาจารย์พิเศษประจำคณะครุศาสตร์ (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
- อดีตอาจารย์พิเศษประจำสถาบันภาษา มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ
สอบถามคอร์ส & โปรโมชั่น
โทร : 098-281-3164
ข่าว/เทคนิคแนะนำ
4 วิธี ย้ายประเทศไปออสเตรเลีย ด้วยวีซ่า PR สรุปมาให้เข้าใจง่ายๆ
มองหาวิธีการย้ายประเทศไปออสเตรเลีย สามารถทำได้ด้วยการขอวีซ่า PR หรือที่เรียกเต็มๆ ว่า Permanent Residence เพื่อการอาศัยอยู่ออสเตรเลียแบบถาวร ซึ่งต้องเก็บคะแนน Point Test จากคุณสมบัติต่างๆ เพื่อให้ได้คะแนนตามเกณฑ์ที่ทางออสเตรเลียกำหนดไว้ ให้มีสิทธิยื่นขอวีซ่า PR ได้ สำหรับบทความนี้ก็จะพาไปดู 4 วิธี ที่สามารถเก็บคะแนนขอวีซ่า PR ได้ ดังนี้
แนะนำJul 23, 2024
ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์อย่างไร เก็บคะแนนตามนี้ ได้วีซ่า PR แน่นอน
สำหรับคนที่อยากย้ายประเทศ นิวซีแลนด์ก็เป็นอีกหนึ่งแห่งที่น่าสนใจ โดดเด่นในเรื่องของสิทธิความเท่าเทียม และเป็นหนึ่งในประเทศที่ผู้คนมีความสุขมากติดอันดับโลก อีกทั้งยังเป็นประเทศที่สงบสุขติดอันดับโลกด้วยเช่นกัน ถ้าหากใครอยากย้ายไปนิวซีแลนด์ วีซ่า PR (Permanent Residence) ทำให้สามารถอาศัยอยู่ในนิวซีแลนด์แบบถาวรได้
แนะนำJun 15, 2023
รีวิว Duolingo English Test เทียบการสอบ IELTS
สอบ Duolingo English Test ยากไหม? ต่างกับการสอบ IELTS ยังไง? เลือกสอบอะไรดีกว่ากัน? บทความนี้มีคำตอบให้ เข้ามาอ่านกันเลย!
แนะนำJun 6, 2022
คอร์สเรียนแนะนำ