ลำดับเวียนเกิดคืออะไร
ลำดับเวียนเกิด คือ ลำดับที่อาศัยพจน์ก่อนหน้าในการคำนวณ เช่น ลำดับฟิโบนักชีที่เกิดจากผลรวมของสองพจน์ก่อนหน้า โดยกำหนดให้ a1=0, a2=1 และ an=an−1+an−2 สำหรับ n=3,4,5,⋯ เราสามารถคำนวณพจน์ที่ 3,4,5,⋯ ได้ดังนี้
a3=a2+a1=1+0=1a4=a3+a2=1+1=2a5=a4+a3=2+1=3a6=a5+a4=3+2=5
เมื่อคำนวณไปเรื่อย ก็จะได้ลำดับที่มีพจน์แรกๆ ดังนี้
0,1,1,2,3,5,8,13,21,34,55,89,144,⋯
ตัวอย่างลำดับเวียนเกิด
ชื่อ | สูตรลำดับวียนเกิด | พจน์แรกๆ |
---|---|---|
ลำดับฟิโบนักชี | a1=0,a2=1,an=an−1+an−2 | 0,1,1,2,3,5,8,⋯ |
ลำดับเลขคณิต | a1=a,an=an−1+d | a,a+d,a+2d,a+3d,⋯ |
ลำดับเลขคณิต | a1=3,an=an−1+4 | 3,7,11,15,19,23,⋯ |
a1=25,an+1=n2−an | −21,−16,−9,0,17,24,⋯ |
การหารูปทั่วไปที่ไม่ต้องใช้พจน์ก่อนหน้า
ปัญหาการหารูปทั่วไปที่ไม่ต้องอ้างถึงพจน์ก่อนหน้าจากลำดับเวียนเกิดนั้นไม่ได้เป็นเรื่องง่าย แต่มีขั้นตอนเบื้องต้นตามตัวอย่างนี้ครับ
ตัวอย่างการหารูปทั่วไปที่ไม่ต้องใช้พจน์ก่อนหน้า
ให้หารูปทั่วไปของลำดับที่กำหนดให้ a1=3 และ an+1=an+4 สำหรับ n=1,2,3,4,⋯
- เขียนพจน์แรกๆ โดยไม่ต้องคำนวณ เช่น
a1=3a2=3+4a3=3+4+4a4=3+4+4+4a5=3+4+4+4+4⋮ - สังเกตและหารูปทั่วไปของ an จากพจน์แรกๆ ซึ่งสำหรับข้อนี้จะได้ an=3+n−1 ตัว⏞(4+4+4+⋯+4)ซึ่งจะได้
an=3+(n−1)×4=3+4n−4=4n−1
รูปทั่วไปของลำดับนี้ คือ an=4n−1
ลำดับเวียนเกิดของลำดับเลขคณิตและลำดับเรขาคณิต
ลำดับเลขคณิตสามารถเขียนให้อยู่ในรูปลำดับเวียนเกิดได้ดังนี้
an+1=an+d
โดยมี a1 เป็นเงื่อนไขเริ่มต้น และมี d เป็นผลต่างร่วม
ทำนองเดียวกันลำดับเรขาคณิตก็สามารถเขียนให้อยู่ในรูปลำดับเวียนเกิดได้เช่นเดียวกัน โดยที่
an+1=an×r
ซึ่งมี a1 เป็นเงื่อนไขเริ่มต้น และมี r เป็นอัตราส่วนร่วม
ตัวอย่างการเขียนลำดับเลขคณิตให้อยู่ในรูปลำดับเวียนเกิด
จงเขียนลำดับเลขคณิต 2,5,8,11,14,⋯ ให้อยู่ในรูปลำดับเวียนเกิด
เห็นได้ชัดว่าลำดับเลขคณิตนี้มีผลต่างร่วมเท่ากับ d=5−2=3 ดังนั้นจากสูตรด้านบน จะได้ว่า a1=2 และ an+1=an+3 สำหรับ n=1,2,3,⋯
a1=2, an+1=an+3 สำหรับ n=1,2,3,⋯
ตัวอย่างการหารูปทั่วไปของลำดับเวียนเกิดที่เป็นลำดับเรขาคณิต
จงหารูปทั่วไปของลำดับเรขาคณิตที่มี a1=3 และ an+1=an3
จะเห็นว่า an+1an=13 ดังนั้นอัตราส่วนร่วมของลำดับเรขาคณิตนี้มีค่าเท่ากับ r=13
แทนค่าลงในสูตรรูปทั่วไปของลำดับเลขคณิตจะได้
an=a1×rn−1=6×(13)n−1=(2×3)×(13)n−1=2×(13)n−2
จะได้รูปทั่วไปเป็น an=2×(13)n−2