ค่าสูงสุดสัมพัทธ์และค่าต่ำสุดสัมพัทธ์
จากหัวข้อที่แล้วเรื่องฟังก์ชันเพิ่มและฟังก์ชันลด พิจารณากราฟของฟังก์ชันต่อไปนี้
จากกราฟ P และ Q เป็นจุดที่กราฟเกิดการเปลี่ยนลักษณะระหว่างฟังก์ชันเพิ่มกับฟังก์ชันลด ซึ่งเราเรียก P และ Q ว่าเป็น จุดวกกลับ ของกราฟ จะสังเกตเห็นว่า เส้นสัมผัสของเส้นโค้งที่จุดวกกลับทั้งสองจุดมีลักษณะขนานกับแกน x นั่นคือมีความชันเป็น 0 หรืออาจกล่าวว่า f′(a)=0 และ f′(b)=0
เราเรียกค่า a และ b ว่า ค่าวิกฤต (critical value) ของฟังก์ชัน f ซึ่งนำไปสู่บทนิยามต่อไปนี้
ให้ f เป็นฟังก์ชันที่หาอนุพันธ์ได้บนช่วง A ค่าของ c∈A ซึ่งทำให้ f′(c)=0 เรียกว่า ค่าวิกฤต ของฟังก์ชัน f
สำหรับจุดวกกลับนั้น เราเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จุดวิกฤต (critical point) เป็นจุดบนกราฟที่มีค่าของ x เท่ากับค่าวิกฤต c กล่าวคือ จุดวิกฤตของฟังก์ชัน y=f(x) จะมีพิกัดที่ (c,f(c)) สรุปเป็นบทนิยามคือ
บทนิยาม
ให้ f เป็นฟังก์ชันที่หาอนุพันธ์ได้บนช่วง A และมี c∈A เป็นค่าวิกฤตของฟังก์ชัน จะได้ (c,f(c)) เป็น จุดวิกฤต ของฟังก์ชัน
ตัวอย่างการหาค่าวิกฤตและจุดวิกฤต
กำหนดฟังก์ชัน f(x)=2x3+3x2−12x−7 จงหาจุดวิกฤตของฟังก์ชันนี้
จาก f(x)=2x3+3x2−12x−7 จะได้
f′(x)=6x2+6x−12
ให้ c เป็นค่าวิกฤตของฟังก์ชัน จะได้ว่า f′(c)=0
6c2+6c−12=0c2+c−2=0(c+2)(c−1)=0c=−2,1
ดังนั้น ค่าวิกฤตมีสองค่า คือ c=−2 และ c=1
f(−2)=2(−2)3+3(−2)2−12(−2)−7=13
f(1)=2(1)3+3(1)2−12(1)−7=−14
จุดวิกฤตของฟังก์ชันคือ (−2,13) และ (1,−14)
สำหรับจุดวิกฤตของฟังก์ชัน y=f(x) มี 2 ลักษณะ คือเป็นจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของฟังก์ชันในช่วงใดช่วงหนึ่ง เราเรียก จุดสูงสุดสัมพัทธ์ และ จุดต่ำสุดสัมพัทธ์ สังเกตกราฟต่อไปนี้
ให้ a<c<b กราฟมีจุด P เป็นจุดวิกฤต จุด A เป็นจุดที่อยู่ทางซ้ายมือของ P และจุด B เป็นจุดที่อยู่ทางขวามือของ P จากรูป ถ้า P เป็นจุดสูงสุดสัมพัทธ์แล้ว ความชันของเส้นสัมผัสเส้นโค้ง ณ จุดทางซ้ายมือของ P มีค่าเป็นบวก และความชันของเส้นสัมผัสเส้นโค้ง ณ จุดทางขวามือของ P มีค่าติดลบ
ในทำนองเดียวกัน หากจุด P เป็นจุดต่ำสุดสัมพัทธ์ ความชันของเส้นสัมผัสเส้นโค้ง ณ จุดทางซ้ายมือของ P มีค่าติดลบ และความชันของเส้นสัมผัสเส้นโค้ง ณ จุดทางขวามือของ P มีค่าเป็นบวก
เราสามารถสรุปเป็นทฤษฎีบทในการตรวจสอบจุดวิกฤตว่ามีลักษณะเป็นอย่างไรได้ ดังนี้
ทฤษฎีบท
ให้ f เป็นฟังก์ชันที่หาอนุพันธ์ได้บนช่วง A และมี c∈A เป็นค่าวิกฤตของฟังก์ชัน สำหรับทุกๆ a,b∈A โดยที่ a<c<b
1. ถ้า f′(a)>0 และ f′(b)<0 แล้ว f(c) เป็นค่าสูงสุดสัมพัทธ์และ (c,f(c)) เป็นจุดสูงสุดสัมพัทธ์ของฟังก์ชัน
2. ถ้า f′(a)<0 และ f′(b)>0 แล้ว f(c) เป็นค่าต่ำสุดสัมพัทธ์และ (c,f(c)) เป็นจุดต่ำสุดสัมพัทธ์ของฟังก์ชัน
ตัวอย่างการหาจุดสูงสุดสัมพัทธ์และจุดต่ำสุดสัมพัทธ์
ตัวอย่างที่ 2
กำหนดฟังก์ชัน f(x)=2x3+3x2−12x−7 จงหาจุดสูงสุดสัมพัทธ์และจุดต่ำสุดสัมพัทธ์ของฟังก์ชันนี้
จาก ตัวอย่างที่ 1 เราได้ว่าจุดวิกฤตของฟังก์ชันมี 2 จุดคือ (−2,13) และ (1,−14)
- ตรวจสอบจุด (−2,13)
กำหนด a=−3 และ b=−1 ซึ่ง a<c<b
f′(a)=f′(−3)=6(−3)2+6(−3)−12=24>0
f′(b)=f′(−1)=6(−1)2+6(−1)−12=−12<0
ดังนั้น f(−2)=13 เป็นค่าสูงสุดสัมพัทธ์ และ (−2,13) เป็นจุดสูงสุดสัมพัทธ์
- ตรวจสอบจุด (1,−14)
กำหนด a=0 และ b=2 ซึ่ง a<c<b
f′(a)=f′(0)=6(0)2+6(0)−12=−12<0
f′(b)=f′(2)=6(2)2+6(2)−12=24>0
ดังนั้น f(1)=−14 เป็นค่าต่ำสุดสัมพัทธ์ และ (1,−14) เป็นจุดต่ำสุดสัมพัทธ์
จุดสูงสุดสัมพัทธ์ของฟังก์ชันคือ (−2,13) จุดต่ำสุดสัมพัทธ์ของฟังก์ชันคือ (1,−14)
ตัวอย่างที่กล่าวมาเป็นวิธีการตรวจสอบจุดสูงสุดสัมพัทธ์และจุดต่ำสุดสัมพัทธ์วิธีที่ 1 ซึ่งอาจเสียเวลาเพราะต้องหาค่าของอนุพันธ์ถึง 2 จุด อีกวิธีหนึ่งที่สามารถใช้ตรวจสอบได้เช่นกันและสะดวกกว่าคือการใช้อนุพันธ์อันดับที่ 2 ตามทฤษฎีบทต่อไปนี้
ทฤษฎีบท
ให้ f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องบนช่วง A และมี c∈A เป็นค่าวิกฤตของฟังก์ชัน
1. ถ้า f″(c)<0 แล้ว f(c) เป็นค่าสูงสุดสัมพัทธ์และ (c,f(c)) เป็นจุดสูงสุดสัมพัทธ์ของฟังก์ชัน
2. ถ้า f″(c)>0 แล้ว f(c) เป็นค่าต่ำสุดสัมพัทธ์และ (c,f(c)) เป็นจุดต่ำสุดสัมพัทธ์ของฟังก์ชัน
สาเหตุที่ใช้อนุพันธ์อันดับที่สอง เพราะ f′(x) หมายถึงความชัน และอนุพันธ์หมายถึงอัตราการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอัตราการเปลี่ยนแปลงของความชันก็คือ f″(x) หากมีค่าเป็นบวก แสดงว่าความชันของกราฟมีค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กราฟมีลักษณะโค้งขึ้น จุดวิกฤตจึงเป็นจุดต่ำสุดสัมพัทธ์ และในทางตรงกันข้าม ถ้าอัตราการเปลี่ยนแปลงของความชันมีค่าติดลบ แสดงว่าความชันของกราฟมีค่าลดลง กราฟมีลักษณะโค้งลง จุดวิกฤตจึงเป็นจุดสูงสุดสัมพัทธ์นั่นเอง
ตัวอย่างการหาจุดสูงสุดสัมพัทธ์และจุดต่ำสุดสัมพัทธ์โดยการใช้อนุพันธ์อันดับที่สอง
ตัวอย่างที่ 3
กำหนดฟังก์ชัน f(x)=2x3+3x2−12x−7 จงหาจุดสูงสุดสัมพัทธ์และจุดต่ำสุดสัมพัทธ์ของฟังก์ชันนี้โดยการใช้อนุพันธ์อันดับที่สอง
จาก ตัวอย่างที่ 1 เราได้ว่าจุดวิกฤตของฟังก์ชันมี 2 จุดคือ (−2,13) และ (1,−14)
f′(x)=6x2+6x−12
f″(x)=12x+6
- ตรวจสอบจุด (−2,13)
f″(−2)=12(−2)+6=−18<0
แสดงว่า (−2,13) เป็นจุดสูงสุดสัมพัทธ์
- ตรวจสอบจุด (1,−14)
f″(1)=12(1)+6=18>0
แสดงว่า (1,−14) เป็นจุดต่ำสุดสัมพัทธ์
จุดสูงสุดสัมพัทธ์ของฟังก์ชันคือ (−2,13) จุดต่ำสุดสัมพัทธ์ของฟังก์ชันคือ (1,−14)
การหาค่าสูงสุดสัมพัทธ์และค่าต่ำสุดสัมพัทธ์โดยใช้อนุพันธ์อันดับที่สอง หาก f″(c)=0 แล้ว เราไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นค่าสูงสุดสัมพัทธ์หรือค่าต่ำสุดสัมพัทธ์ ต้องกลับไปใช้อนุพันธ์อันดับที่หนึ่งในการตรวจสอบแทน
สรุปหลักการหาจุดสูงสุดสัมพัทธ์และจุดต่ำสุดสัมพัทธ์
- หา f′(x)
- หาค่าวิกฤตโดยการกำหนด f′(c)=0 แล้วแก้สมการหาค่า c
- ตรวจสอบค่าวิกฤตที่ได้โดยการใช้อนุพันธ์อันดับที่สอง หา f″(x) แล้วแทนค่า c ลงไป หาก
f″(c)>0 แสดงว่า f(c) เป็นค่าต่ำสุดสัมพัทธ์
f″(c)<0 แสดงว่า f(c) เป็นค่าสูงสุดสัมพัทธ์
f″(c)=0 ไม่สามารถสรุปได้ ต้องตรวจสอบด้วยอนุพันธ์อันดับที่หนึ่ง
การตรวจสอบด้วยอนุพันธ์อันดับที่หนึ่ง คือ หาค่า f′(a) และ f′(b) โดยกำหนด a,b เป็นเท่าไรก็ได้ที่ a<c<b มักเลือกค่าที่หาได้ไม่ยาก เช่น ถ้า c=2 กำหนด a=1 และ b=3 หาก
f′(a)>0 และ f′(b)<0 แสดงว่า f(c) เป็นค่าสูงสุดสัมพัทธ์
f′(a)<0 และ f′(b)>0 แสดงว่า f(c) เป็นค่าต่ำสุดสัมพัทธ์ - เราจะได้ f(c) เป็นค่าสูงสุดสัมพัทธ์หรือค่าต่ำสุดสัมพัทธ์ของฟังก์ชัน หากต้องการจุดสูงสุดสัมพัทธ์หรือจุดต่ำสุดสัมพัทธ์ ให้ตอบในรูปของคู่อันดับ (c,f(c))
ตัวอย่างการหาจุดสูงสุดสัมพัทธ์และจุดต่ำสุดสัมพัทธ์
ตัวอย่างที่ 4
กำหนดฟังก์ชัน f(x)=x3−3x2−24x+4 จงหาจุดสูงสุดสัมพัทธ์และจุดต่ำสุดสัมพัทธ์ของฟังก์ชัน
จาก f(x)=x3−3x2−24x+4
จะได้ f′(x)=3x2−6x−24
กำหนดให้ c เป็นค่าวิกฤต หาค่าวิกฤต
3c2−6c−24=0c2−2c−8=0(c−4)(c+2)=0c=−2,4
ตรวจสอบค่าวิกฤตโดยใช้อนุพันธ์อันดับที่สอง f″(x)=6x−6
- ตรวจสอบ c1=−2
f″(−2)=6(−2)−6=−18<0
แสดงว่า f(c1)=f(−2)=(−2)3−3(−2)2−24(−2)+4=32 เป็นค่าสูงสุดสัมพัทธ์
- ตรวจสอบ c2=4
f″(4)=6(4)−6=18>0
แสดงว่า f(c2)=f(4)=43−3(4)2−24(4)+4=−76 เป็นค่าต่ำสุดสัมพัทธ์
จุดสูงสุดสัมพัทธ์ของฟังก์ชันคือ (−2,32) และจุดต่ำสุดสัมพัทธ์ของฟังก์ชันคือ (4,−76)
ตัวอย่างที่ 5
กำหนด f(x)=x2−2x+a ถ้า f มีค่าต่ำสุดสัมพัทธ์ของฟังก์ชันเท่ากับ −4 แล้ว จงหา a
จาก f(x)=x2−2x+a
จะได้ f′(x)=2x−2
ให้ c เป็นค่าวิกฤต หาค่าวิกฤต
2c−2=0c−1=0c=1
ตรวจสอบค่าวิกฤตโดยใช้อนุพันธ์อันดับที่สอง f″(x)=2
จะได้ f″(c)=f″(1)=2>0
แสดงว่า f(c)=f(1)=12−2(1)+a=−1+a เป็นค่าต่ำสุดของฟังก์ชัน
ดังนั้น
−1+a=−4a=−3
a=−3