ลำดับคงตัว
ลำดับคงตัว คือ ลำดับที่มีค่าเท่าเดิมตลอด เช่น
7,7,7,7,7,7,⋯
รูปทั่วไปของลำดับคงตัว คือ ค่าของตัวเลขในลำดับนั้นๆ นั่นคือ
ลำดับ k,k,k,k,⋯ จะมีรูปทั่วไปเป็น an=k ทุก n=1,2,3,⋯
ลำดับเลขคณิตและลำดับเรขาคณิต
น้องๆ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับลำดับเลขคณิตและลำดับเรขาคณิตได้ที่แต่ละหัวข้อได้เลยครับ
ลำดับพหุนามดีกรีสอง
ลำดับพหุนามดีกรีสอง คือ ลำดับที่มีรูปทั่วไปเป็นพหุนามในรูป an=a⋅n2+b⋅n+c เช่น an=2n2−3n+1 ซึ่งมี 7 พจน์แรกเป็น
0,3,10,21,36,55,78,⋯
วิธีการสังเกตุลำดับพหุนาม คือ เมื่อหาผลต่างของสองพจน์ติดกันไปสองชั้นแล้วชั้นที่สองจะมีค่าเท่ากันทุกชั้น
จะเห็นว่าผลต่างในชั้นที่สองมีค่าเท่ากันและเท่ากับ 4 ทำให้เราทราบว่าเป็นลำดับพหุนาม และจำนวนชั้นของผลต่างเป็นตัวบอกดีกรีของลำดับพหุนามนี้ ซึ่งในที่นี้ คือ ลำดับพหุนามที่มีดีกรีสอง นั่นคือ ลำดับนี้มีรูปทั่วไปเป็น
an=a⋅n2+b⋅n+c
ทริก ก็คือ สัมประสิทธิ์ตัวแรกของลำดับพหุนามจะมีค่าเท่ากับครึ่งหนึ่งของค่าที่เท่ากันในผลต่างชั้นที่สอง
ในที่นี้ก็คือ a=42=2 ดังนั้นเราจึงสามารถทราบได้เลยว่าลำดับพหุนามนี้มีรูปทั่วไปเป็น an=2n2+b⋅n+c
วิธีที่ง่ายที่สุดในการหารูปทั่วไปของลำดับพหุนามกำลังสอง คือ ใช้สูตร
an=a1+(n−1)d1+(n−1)(n−2)2×d2
เมื่อ
a1 คือ ตัวแรกในลำดับ
d1 คือ ผลต่างตัวแรกของชั้นแรก
d2 คือ ผลต่างตัวแรกในชั้นที่สอง (ชั้นที่ผลต่างเท่ากัน)
ในกรณีข้างบน จะได้ว่า a1=0,d1=3,d2=4 ดังนั้นจึงได้รูปทั่วไปเป็น
an=a1+(n−1)d1+(n−1)(n−2)2×d2=(0)+(n−1)(3)+(n−1)(n−2)2×(4)=0+3n−3+(n2−3n+2)×422=3n−3+(2n2−6n+4)=2n2−3n+1
นอกจากการใช้สูตรนี้แล้ว กรณีที่จำสูตรไม่ได้ เราสามารถนำรูปทั่วไป an=an2+bn+c มาแทนค่า n=1,2,3 ลงไปแล้วแก้ระบบสมการต่อไปนี้แทนก็ได้
a1=a(1)2+b(1)+c⋯(1)a2=a(2)2+b(2)+c⋯(2)a3=a(3)2+b(3)+c⋯(3)
หรือในข้อนี้ เมื่อแทนค่า a1=0,a2=3 และ a3=10 ลงไปเราจะได้ระบบสมการเป็น
a+b+c=0⋯(1)4a+2b+c=3⋯(2)9a+3b+c=10⋯(3)
แก้ระบบสมการแล้วก็จะได้ a=2,b=−3 และ c=1 เช่นเดียวกับวิธีการใช้สูตร
รูปทั่วไปของสูตรลำดับพหุนามดีกรี n
ผลต่างเป็นลำดับเรขาคณิต
กรณีผลต่างชั้นแรกเป็นลำดับเรขาคณิต เช่น 2,8,26,80,242,728,2186,⋯
มีผลต่างชั้นแรกเป็น 6,18,54,162,486,1458⋯ ซึ่งเป็นลำดับเรขาคณิตที่มีอัตราส่วนร่วมเป็น r=3 จะได้ว่ารูปทั่วไปของอนุกรม 2,8,26,80,242,728,2186,⋯ คือ ลำดับเรขาคณิตบวกด้วยค่าคงตัว มีรูปทั่วไปเป็น
an=a⋅rn−1+k
โดยที่ a⋅rn−1 เป็นลำดับเรขาคณิตที่มี r=3 และ k เป็นค่าคงตัว
จากนั้นเราสามารถนำข้อมูลที่เราทราบ คือ
2=a1=a⋅3(1)−1+k⋯(1)8=a2=a⋅3(2)−1+k⋯(2)
มาแก้ระบบสมการหาค่าของ a และ k ซึ่งจะได้ a=3 และ k=−1
เราจึงได้รูปทั่วไปของลำดับ 2,8,26,80,242,728,2186,⋯ เป็น an=3×3n−1−1=3n−1
กรณีผลต่างชั้นที่สองเป็นลำดับเรขาคณิต รูปทั่วไปของลำดับก็จะอยู่ในรูป bn=a⋅rn−1+b⋅n+c เมื่อ a,b และ c เป็นค่าคงตัว และหลักการในการแก้หารูปทั่วไปก็ทำคล้ายกันกับวิธีด้านบน
แยกคิดรูปทั่วไปเป็นส่วน
กรณีที่ลำดับมีความซับซ้อนมา บางครั้งการแยกคิดเป็นส่วนๆ จะช่วยได้ดี เช่น การแบ่งคิดเศษกับส่วนแยกกัน
12+39+527+781+9243+⋯
ซึ่งค่อนข้างชัดเจนว่าตัวเลขตรงเศษ 1,3,5,7,9,⋯ เป็นลำดับของเลขคี่ an=2n−1
ในขณะที่ลำดับที่ตัวส่วน 3,9,27,81,243,⋯ เป็นลำดับเรขาคณิตมีรูปทั่วไปเป็น bn=3n
นั่นคือ รูปทั่วไปของลำดับที่ให้มาตั้งแต่แรก คือ cn=anbn=2n−13n